วันอาทิตย์, มิถุนายน 10, 2561

“พรรคเทือก” ติดหล่มวาทะ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สตาร์ทจากแดนลบ คนไทยรู้ทันไม่ยอมโดนหลอกอีก - สื่อเครือผู้จัดการ วิเคราะห์






เลือกตั้งก่อนปฏิรูป “พรรคเทือก” สตาร์ทจากแดนลบ ติดหล่มวาทะ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” คนไทยรู้ทันไม่ยอมโดนหลอกอีก


2018/06/09
ที่มา MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ทันทีภายหลังการเปิดตัว “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” (รปช.) อย่างเป็นทางการ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะฉากดรามาน้ำตานองของ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. พร้อมประกาศ “ตระบัดสัตย์เพื่อชาติ” ที่เรียกได้ว่า ยึดพื้นที่สื่อครบทุกช่องทาง


ฉากหลั่งน้ำตา “ตามสคริปต์” ของ “กำนันเทือก” ดูจะ “ขโมยซีน” จนไม่รู้ว่า มีการพูดถึงนโยบาย-วิสัยทัศน์ของการตั้งพรรคหรือไม่ คิว “เดี่ยวไมโครโฟน”ของทั้ง “อดีตหนุ่มซินตึ๊ง” เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ว่าที่หัวหน้าพรรค และ “ยะใส” สุริยะใส กตะศิลา ถูกบดบังไปจนมิด และไม่รู้ว่าสรุปแล้ว “พรรค รปช.” มีนโยบายหรือจุดยืนอย่างไรกันแน่

ที่เป็น “ตลกร้าย” คือ ซีนเดียวที่ “ดร.เอนก” ได้ออกสื่อหลักนั้นคือ จังหวะที่พูดปูประเด็น ก่อนส่งไมค์ต่อให้ “สุเทพ” ตามกำหนดการเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม “น้ำตาสุเทพ” ก็มิอาจลด “ความเคลือบแคลงสงสัย” ต่อการกระโจนออกมาอยู่ “เบื้องหน้า” ของพรรคการเมืองน้องใหม่ของ “กำนันเทือก” ที่เคยประกาศจะไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกตลอดชีวิตไปไม่ได้ ทั้งยังทำให้มีคำถามตามมามากมายก่ายกอง

แน่นอน หลายคนก็ไม่ได้ติดใจสงสัยว่า เหตุใด “สุเทพ” ถึงตัดสินใจ “กลืนน้ำลาย-ตระบัดสัตย์” เพราะในฐานะ “นักการเมืองอาชีพ” อีกทั้งยังเคยวนเวียนอยู่ใน“วังวนอำนาจ” มาตลอด เชื่อเถอะว่า ตัดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด เพียงไม่นึกว่า จะหาญกล้าเปิดตัวระดับแกรนด์โอเพ่นนิ่งขนาดนี้

คำถามว่า การรีเทิร์นเวทีการเมืองหนนี้ ไปหลงลืมธง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่เคยแผดเสียงลั่นเวทีชุมนุม กปปส.ไว้ที่ไหน ไม่ใช่เพียง “สุเทพ” รายเดียว ยังหมายรวมไปถึง “อดีต เซเลบ กปปส.” ที่โผเข้าร่วมก่อตั้งพรรคในครั้งนี้ด้วย แทบทุกคนล้วนแล้วแต่เคยเห็นดีเห็นงาม และสนับสนุนวาทกรรมสวยหรูที่ว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ทั้งสิ้น

ความหมายที่ไม่ต้องตีความให้วุ่น “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ก็แปลว่า การเมืองเข้าขั้นล้มเหลว จึงต้องมีการปฏิรูปเสียก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

แต่นี่กลับตั้งพรรคการเมือง ที่เท่ากับเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งที่เห็นชัดเจอว่าใน “ยุคทหารครองเมือง” คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตลอด 4 ปีเศษที่ผ่านมา “วาระปฏิรูป” ไปไม่ถึงไหน มาวันนี้กลับตาลปัตรจะมาชูธง “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” กันซะแล้ว

อีกทั้ง 4 ปีที่ผ่านมา ทั้ง “สุเทพ” เองก็ไม่เคยเรียกร้องกดดันใดๆเกี่ยวกับ “วาระปฏิรูป” ที่ดูจะไร้หางเสือของ คสช. ขณะที่ “เอนก” เองก็เคยสวมหมวก ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ที่ คสช.ตั้งขึ้นซะด้วย

และนอกเหนือจากตัว “สุเทพ” ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็น “จุดอ่อน” ของพรรค ข้อด้อยที่เห็นได้ชัดของ รปช. ก็คือเรื่องพื้นที่ฐานเสียงที่ไม่มีเป็นของตัวเอง เพราะหากเว้นคนใน “ตระกูลเทือกสุบรรณ” แล้วผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “สายวิชาการ-ภาคประชาสังคม” ที่หลายคนยังชื่อเสียง อยู่ระดับ “โนเนม” เท่านั้น

ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่โดยมากมีการแบ่งพื้นที่ฐานเสียง มี “เจ้าถิ่น-เจ้าเมือง” กันค่อนข้างชัดเจน ยากที่ รปช. หรือกระทั่งพรรคการน้องน้องใหม่แบรนด์อื่นๆ จะสอดแทรกเข้าไปได้ หรือหากโชคดีได้ ส.ส.ขึ้นมา ไม่ว่าผู้แทนในเขตเลือกตั้ง หรือลุ้นจากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ก็ไม่มีอำนาจต่อรองเพียงพอสำหรับการขับเคลื่อน “วาระปฏิรูป” อย่างแน่นอน

“พรรคเพื่อไทย” เองก็ยังมั่นใจว่า จะกวาด ส.ส.ได้แบบแลนด์สไลด์ มากกว่า 200 ที่นั่งขึ้นไป ซึ่งก็ดูเบาไม่ได้ เพราะยี่ห้อ “พรรคทักษิณ” ในอดีตพิสูจน์มาแล้ว หรือ “พรรคประชาธิปัตย์” เองก็มีฐานเสียงที่แน่นอน เช่นเดียวกับ “พรรคเอสเอ็มอี” อื่นๆ

ส่วนคะแนนนิยมในตัวเองของ “สุเทพ” ที่นอกเหนือจาก “เมืองหอยใหญ่” จ.สุราษฎร์ธานี แล้วแทบไม่มี หรือปรากฎการณ์ กปปส.เมื่อวันวาน ที่เคยมี “ติ่งกำนัน” เป็นล้านๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “คนไม่เอาทักษิณ” ซึ่งมาถึงวันนี้ก็แปรสภาพกลับไปตามเดิม ส่วนหนึ่งกลับไปเป็นฐานเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ บางส่วนก็“ติ่งกำนัน” ไปเป็น “ติ่งลุงตู่-ติ่ง คสช.” กันหมด หรือบางส่วนที่เคยเป็น “เสื้อเหลือง-เสื้อหลากสี” ก็ไม่ได้ศรัทธาแนวทางของ “สุเทพ” อยู่แล้ว

ที่หลงเหลือเชียร์ “เทพเทือก” แบบเพียวๆ ก็มีแต่ “ลิ่วล้อรอบข้าง” เท่านั้น

แล้วหากจะคิดตื้นๆ มาขอแชร์ตลาด “ติ่งลุงตู่” ที่ให้การสนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมี “พรรคพลังประชารัฐ” สายตรง “บิ๊ก คสช.” เป็น “นอมินีเบอร์ 1” ยืนตระหว่านกวาดเสียงของ “ติ่งลูงตู่” อยู่

เรียกว่าแทบไม่มีประตูไหนเลย ที่จะทำให้ “พรรค รปช.” จะแจ้งเกิดได้ ในฐานะพรรคการเมืองที่โกยเก้าอี้ ส.ส.ได้เป็นกอบเป็นกำ ดีไม่ดีสอบตกร่วงยกพรรคยังจะดูประตูเปิดกว้างมากกว่า

อีกทั้งยังมีบทเรียนให้เห็นจาก “พรรคภาคประชาสังคมต่างๆ” ในอดีต หรือพรรคที่เสนอตัวด้วยแนวทางใหม่ อย่าง “พรรคมหาชน” ที่ “เอนก” เคยเป็นหัวหน้า ก็ชอกช้ำมาแล้วกับการเลือกตั้งในอดีต จุดจบก็คือล้มหายตายจากไปจากสารบบทั้งนั้น

การณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องถามใจ “แกนนำ รปช.” ทั้งหลายว่า ก่อตั้งพรรคมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดกันแน่









การก่อตั้งพรรค รปช. จึงไม่ตอบโจทย์ในแง่จำนวนที่นั่ง ส.ส. ไม่ตอบโจทย์ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่ตัวเองเคยประกาศเป็นจุดยืน และยังไม่ตอบโจทย์ “มวลมหาประชาชน” ที่เคยหนุนส่งกันมา

ด้วยมาถึงวันนี้ ผู้ที่เคยปวารณาตัวเป็น “มวลมหาประชาชน” ได้หูตาสว่างแล้วว่า ที่ผ่านมาถูก “ฮีโร่” ทั้งตัว “ลุงกำนัน” ที่เคยศรัทธาสมัยทำม็อบไล่ยิ่งลักษณ์ หรือกระทั่ง “ลุงตู่” ที่เคยเป็นความหวังในการกอบกู้พลิกฟื้นบ้านเมือง “หลอกลวง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

โดยเฉพาะรับรู้ถึงเป้าหมายลึกๆ ของ “สุเทพ” ทั้งก่อนหน้าที่เคยมีข่าวจะตั้ง “พรรคมวลมหาประชาชน” ก็ดี หรือมาวันนี้ในนามพรรค รปช. ที่แม้จะไม่ได้ประกาศเป็นทางการ และระยะหลังจะเสียงแปร่งๆออกไปบ้างแต่ก็พยายามเสนอตัวขอเป็น “นั่งร้าน” ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” รีเทิร์นเก้าอี้นายกฯมาตลอด ซึ่งเป้าหมายที่ว่าเป็นเรื่องของ “อำนาจ-ผลประโยชน์” เท่านั้น มิได้มี “อุดมการณ์ทางการเมือง” แต่ประการใด

เป็นการก้มหน้าก้มตาหนุน “พล.อ.ประยุทธ์” ผู้ซึ่งมีอำนาจล้นมือ แต่ไม่มีแสดงความจริงใจผลักดันการปฏิรูปให้เป็นผล แล้วก็อย่างที่ทราบกันว่า ในขณะที่“วาระปฏิรูป” ที่ไม่คืบหน้า “สุเทพ” ก็ไม่เคยออกมากดดันเรียกร้อง ทั้งที่เคยเอาเป็นเอาตายกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”

ตลอดจนวีรกรรมฉาวโฉ่ในช่วง “รัฐบาลทหาร” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนาฬิกาหรู ผลประโยชน์ทับซ้อนของคนในครอบครัวนายกฯ การจัดซื้อเรือดำน้ำ การซื้อเครื่องกรองน้ำในพื้นที่ชายแดนใต้ หรือประเด็นหมู่บ้านป่าแหว่ง ที่เกิดกระแสต่อต้านจากประชาชน ก็ไม่เคยเห็นแอคชั่นใดๆจาก “อดีตเลขาฯ กปปส.” เลย

เสมือนหนึ่งว่า “มวลมหาประชาชน” ถูก “สุเทพ” หลอกมาเป็น “พรมแดง” ให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วยังถูกประเคนให้เป็น “แบ็กอัป” ให้กับ “รัฐบาล คสช.”ในช่วงต้น จนที่สุดพิสูจน์แล้วว่า “รัฐบาลทหาร” ไม่ได้เป็นประโยชน์โภชน์ผลอะไรกับส่วนร่วมเลย

การประกาศหนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯอีกครั้ง แบบไม่มีเงื่อนไข ก็เป็นอีกชนวนเหตุที่ทำให้ “ติ่งกำนัน - ติ่งลุงตู่” วงแตก ด้วยไม่อยากถูกหลอกหลอนอีกเหมือน 4 ปีที่ผ่านมา

อันเป็นที่มาของวลี “กองหนุนหมดแล้ว” ที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เคยออกปากเตือน “นายกฯประยุทธ์” ไว้

เฉกเช่นเดียวกับ “เซเลบ กปปส.” ที่มาร่วมก่อตั้งพรรค รปช.เอง สุริยะใส กตะศิลา ประสาร มฤคพิทักษ์ หรือกระทั่ง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่เชื่อว่าหากตั้งพรรคโดยไร้เงาของ “สุเทพ” ก็อาจจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่น่าสนใจในแง่นโยบาย-งานภาคประชาชน

แต่พอมีชื่อ “สุเทพ” มาร่วมด้วย ก็หนีไม่พ้นถูกตั้งคำถามย้อน “วาระปฏิรูป” หลายคนก็คง “น้ำท่วมปาก”

กลายเป็นว่ามาวันนี้ “แกนนำ- เซเลบ กปปส.” ติดกับดักตัวเองในอดีต จนพากัน “เสียเครดิต” กันไปหมด รวมทั้ง “บิ๊กตู่” ที่หวังจะหนุนเองก็ความนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับวันยิ่งออกอาการ วีนแตกเข้ายุคเสื่อม ไม่มีทีท่าว่าจะตีตื้นเรตติ้งขึ้นมาได้

หลายปัจจัยจึงถือว่า พรรค รปช.เริ่มต้นจากแดนลบเลยทีเดียว

แล้วเมื่อเทียบกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ว่ากันว่าเป็น “พรรคทหารเบอร์ 1” แล้ว ก็ยิ่งชัดว่า “บิ๊กทหาร” จะเลือกใช้พรรคไหน ในขณะที่พรรคหนึ่งอยู่ในแดนลบ แต่อีกพรรคใช้ “ทางลัด” ไล่ดูด-สอย กลุ่มก๊วนการเมือง การันตีที่นั่ง ส.ส.แน่ๆไว้ก่อน

ทว่า “นักการเมืองชั้นเซียน” อย่าง “สุเทพ” ก็หาจุดขายให้กับตัวเองได้ตลอด โดยขายในสิ่งที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ให้ไม่ได้ ด้วยโจทย์ใหม่ที่ว่า หากจะโค่น“พรรคทักษิณ” ได้ มีทางเดียวต้องรวบรวม “คนไม่เอาทักษิณ” ให้มากที่สุด

ซึ่ง “คนไม่เอาทักษิณ” ที่ว่าก็คงปลาบปลื้มแนวทางของ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่เป็นแหล่งรวมรวม “นักเลือกตั้งอาชีพ” อาทิ ตระกูลสะสมทรัพย์ หรือตระกูลคุณปลื้ม ที่ถูกตกเขียวมา แล้วมองอย่างไรก็ยังเป็น “นักการเมืองน้ำเน่า” อยู่ดี

พรรค รปช.ก็ชูในเรื่อง “การเมืองน้ำดี” โดยเฉพาะ “เอนก - สุริยะใส” ที่แต่งตัวมานานกับแนวทาง “การเมืองใหม่” ขณะที่ “สุเทพ” เองก็อาศัยหมวก ประธานคณะกรรมการรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมเป็นผู้ก่อตั้งและสมาชิกพรรค ในการเดินสายหาแนวร่วมทั่วประเทศ

ซึ่งจากผลงานก่อหวอดจุดติด “ม็อบ กปปส.” ในอดีต ก็เป็นเครื่องการันตี ที่ทำให้ “บิ๊กทหาร” เชื่อเหลือเกินว่า หาก “สุเทพ” เดินหน้าปลุกระดมมวลชน ก็คงไม่พลาด

หากแต่ลึกๆ แล้ว “บิ๊กทหาร” ก็อยากให้ทั้ง “สุเทพ” และพรรค รปช.มาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับ “พรรคพลังประชารัฐ” เพื่อการขับเคลื่อนที่เป็น “เอกภาพ” แต่เบื้องหลังการถ่ายทำ ก็มีทั้ง “ขบเหลี่ยมเฉือนคม” ชิงการนำพรรค และก็ยังมองว่า บุคคลอย่าง “เอนก- สุริยะใส” หรือกระทั่ง “สุเทพ” ที่ตั้งป้อมถล่ม “นักการเมืองอาชีพ” ก็เสมือน “น้ำ กับ น้ำมัน” รวมกันไม่ได้

เมื่อตัดสินใจ แยกกันเดิน พรรค รปช. ก็ต้องเร่งหา “ที่ยืน” ให้กับตัวเอง งานนี้ก็เลยได้เห็น “เทพเทือก” เริ่มเคลื่อนไหวทันทีหลังตั้งพรรค ประเดิมด้วยการเปิด“ฐานบัญชาการ” แปซิฟิคเพลส ย่านสุขุมวิท จัดอบรม “โรงเรียนการเมือง” รุ่นแรกของพรรค ที่ต้องจับตาคือการโผล่ไปร่วมแสดงมุทิตาจิตเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งอาศรมสันติอโศก ที่ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เปิดฟลอร์หาเสียงกลายๆ กับ “ชาวราชธานีอโศก”

เอาเข้าจริงความสัมพันธ์ของ “เดอะเทือก” กับ “สมณะโพธิรักษ์” อยู่ในระดับผิวเผิน ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นไปแสดงความซูฮกอะไร แต่การ ถ่อไปถึง จ.อุบลราชธานี ในงานสำคัญของสำนักสันติอโศก ก็เป็นหมาก “ปิดจุดอ่อน” จับอาการได้ว่า “พล่าน” ตั้งแต่ต้น ด้วย “มวลชน กปปส.” ที่หวังใช้เป็นฐานเสียงให้“พรรคกำนัน” นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการรวมกันเฉพาะกิจเมื่อครั้งขับไล่ “ยิ่งลักษณ์” เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ทำรายการยกยอ “แกนนำพันธมิตรฯ” เป็นรายวัน หลายวาระยังแสดงความเห็นอกเห็นใจ พี่น้องพันธมิตรฯ ที่ต้องคดีร้ายแรง

ที่สำคัญการ “ออกตัวแรง” ของ “สุเทพ” ก็กลายเป็น “ดาบสองคม” ไปอีก ใจหนึ่ง “ขุนทหาร” ก็หวังเอาใช้ในแง่การทำมวลชน แต่อีกด้านหนึ่งก็เจือไปด้วย“ความหวาดระแวง” ว่า วันหนึ่งอาจกลายมาเป็น “หอกข้างแคร่”

ทำให้นอกจากฝ่ายตรงข้ามที่รุมสกรัม “สุเทพ” อย่างต่อเนื่องแล้ว “คนกันเอง” ก็ร่วมสหบาทาไปด้วย ดูได้จาก “สื่อบางค่าย” ที่ขุดคุ้ยอดีตของ “เทพเทือก”ออกมาอย่างรู้เช่นเห็นชาติ ทั้งที่มีคีย์แมนระดับใกล้ชิดกับ “สุเทพ” มาก่อน แต่ปัจจุบันเริ่มเอนเอียงไปทาง “พรรคทหารเบอร์ 1” เสียแล้ว

หรืออย่างคิวที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาอัปเดตคดี “ทุจริตโรงพักทดแทน 396 แห่ง” ที่ว่ากันว่าจะเป็น “จุดตาย” ของ “สุเทพ” อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็ตีความได้ว่า “บิ๊กทหาร” ยื่นหมัดมาค้ำคอ “สุเทพ” เอาไว้ เพื่อส่งสัญญาณปรามว่า อย่านอกลู่นอกเลน

ทั้งหลายทั้งปวงคือความลักลั่นของ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ที่ดูเหมือนจะเปิดตัวออกสตาร์ทไม่สวยอย่างที่คาดกันไว้ จนทำให้อนาคตดูจะไม่สดใสเท่าที่ควร

การที่ “สุเทพ” เทหมดหน้าตัก “ตระบัดสัตย์เพื่อชาติ” หลั่งน้ำตาหมดเป็นปี๊บ จึงอาจไม่ได้คุ้มเสีย โดยเฉพาะการเอาตัวเองไปผูกกับ “พรรค รปช.” ที่ดูแล้ว “เกิดยาก” ในครั้งนี้

อาจเป็นการปิดฉากทางการเมืองของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อย่างเป็นทางการไปโดยปริยาย ไม่มีโอกาสประกาศคำมั่นอะไรอีกต่อไป