เรื่องของ ‘ตั๊น’ กฤดาการ นี่บางคนเขาว่า ‘อย่างหนา’ คล้ายๆ เรื่องของเมีย ‘ดอน’ ปรมัตถ์วินัย
ต่างแต่ว่าดอนบอกให้ดูหน้าเขาแล้วกันว่าสะทกสะท้านบ้างไหม แล้วอย่าถามหาสปิริตอะไรเพราะไม่ใช่นักกีฬา
จำกันได้นะ ‘ตั๊น’ สาวไฮโซกู้ชาติ ผู้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของ กปปส.
เพราะนอกจากตระกูลของพ่อเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของไทยแล้ว
มารดายังเป็นพวกเลือดสีฟ้า นางสนองฯ ของราชินี และเป็นนางเอกหนังใหญ่
ทำให้น.ส.จิตรภัสร์ เลือกใช้นามสกุลแม่เมื่อเธอไปยืนข้างการเมืองสีเหลือง
ด่าแดงว่าบ้านนอกโง่เง่าไม่ควรได้สิทธิทางการเมืองเท่าพวกผู้ดี
ดังนั้นตั๊นจึงได้เป็นผู้ต้องหาสำคัญคดีกบฏล้มล้างประชาธิปไตยที่ฝ่ายเสื้อแดงฟ้องไว้
ร่วมกับผู้ต้องหาดังๆ คนอื่นอีกหลาย เช่น เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สุริยะใส กตะศิลา
นิติธร ล้ำเหลือ ซึ่งอัยการหลงลืม ๕ ปีแล้วยังไม่ได้สั่งฟ้อง
พอทนายความเพื่อสิทธิฯ วิญญัติ ชาติมนตรี
ยื่นคำร้องจี้เมื่อกลางเดือนพฤษภา อัยการถึงได้เรียกผู้ถูกกล่าวหาไปให้การในวันที่
๓๑ พ.ค. ก็กลับปรากฏว่าไม่มีผู้ถูกกล่าวโทษสักคน ‘สน’
จะไป อ้างโน่นอ้างนี่ บ้างติดประชุม บ้างติดสอนหนังสือ
เห็นว่าบางคนติดปัญหาไม่ได้อยู่ในประเทศเสียแล้วก็มี
สำหรับ น.ส.ตั๊น ผู้ที่อยากเป็นตำรวจใจจะขาด
แต่พลาดเมื่อตอนก่อม็อบด่าสาดเสียตำรวจเอาไว้มาก
การจะเป็นผู้กองยอดรักเลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ มาตอนนี้อ้างเหตุไม่ไปพบอัยการ ว่าติดขัดที่ยังรอขอรับเงินค่าประกันตัวจากกองทุนยุติธรรมอยู่
๕ วันผ่านไป เมื่อเสียงวิพากษ์ดังลั่น
อะไรวะ สาวตั๊นนี่นะต้องพึ่งกองทุนยุติธรรม ทางกระทรวงยุติธรรมเลยต้องออกมาแถลง
รองปลัดกระทรวงแจ้งว่า
น.ส.จิตรภัสร์เพิ่งยื่นคำร้องขอรับเงินประกันจากรัฐบาลเมื่อวันที่ ๒๘ พ.ค. นี่เอง
รองฯ ธวัชชัย ไทยเขียว ชี้แจงระเบียบกองทุนฯ
ว่านอกจากผู้ยื่นคำร้องจะต้อง “ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ไม่ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
หรือไม่ไปก่อเหตุภยันตรายประการใดแล้ว
ยังต้องพิจารณาถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ขอรับความช่วยเหลือ” ด้วย
“ปกติ คณะกรรมการฯ จะมีฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้กับรัฐบาล
หากมีชื่อในบัญชีดังกล่าว คณะกรรรมการจะพิจารณาช่วยเหลือ ส่วนบุคคลอื่นที่มายื่นเรื่องแต่ไม่ได้มีชื่อในบัญชีนั้น
คณะกรรมการจะให้ส่งเอกสารสถานะรายได้มาด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา”
รองฯ ธวัชชัย บอกด้วยว่า
ขอความกรุณาผู้ยื่นขอให้กองทุนฯ ช่วยเหลือ รีบส่งหลักฐานแสดงฐานะทางเศรษฐกิจ
(ว่าเป็นผู้ยากจนจริง) ไปให้ไวไว จะได้เริ่มพิจารณา (ไม่เช่นนั้นก็จะคาราคาซังอย่างนี้ต่อไป)
รองฯ ยังพาดพิงกรณีหนึ่งเป็นตัวอย่าง
ว่านักธุรกิจใหญ่ขอรับเงินประกันจากกองทุนฯ พอต้องส่งเอกสารการเงินเลยอิดเอื้อนไม่ส่งให้เสียที
ไม่แน่ใจด้วยเหตุผลใด จะประวิงเวลาหรือไม่ แต่คณะกรรมการก็สั่งยุติคำร้องนั้นไป
(ไม่หวังว่าคดีของสาวตั๊นจะมาอีหรอบเดียวกันอีก -รองฯ ธวัชชัยไม่ได้ว่า)
มาถึงกรณีนางนรีรัตน์ ปรมัตถ์วินัย
ถือหุ้นบริษัทปานะวงศ์ ๑๒ เปอร์เซ็นต์ แต่นายดอนผู้เป็นสามีไม่ได้แจ้งให้ ปปช.
ทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ
เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีต้องแจ้งรายการทรัพย์สิน
(กรณีหลักทรัพย์หุ้น ถ้ามีมากกว่า ๕ เปอร์เซ็นต์ ลูกอาจเว้น แต่เมียไม่เว้น)
เรื่องของดอนนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
เป็นผู้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการเลือกตั้งเป็นผู้ตรวจสอบ เพิ่งมีมติ ๓-๒
ออกมาได้สองสามวันว่ามีความผิด และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตัดสินโทษ
มีการเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งพักงานนายดอนไว้ก่อนระหว่างที่มีการสอบสวน แต่ตัวใหญ่ๆ
คสช. ต่างปฏิเสธไม่ทำ โดยที่นายวิษณุ เครืองาม บอกว่าถ้านายดอนจะลาออกด้วยสปิริตของตัวเองเป็นอีกเรื่อง
วันประชุม ครม. เมื่อวาน (๕ พ.ค.)
นักข่าวกลุ้มรุมถาม รมว.ต่างประเทศว่าจะเป็นอย่างไร
นายดอนตอบอย่างยียวน...ยิ้มซ่าร่าเริงว่า ให้ดูหน้าตนสิ เป็นอย่างนี้แหละ
ถ้าคิดจะลาออกคงไม่มาประชุมวันนี้หรอก และว่าในที่ประชุม ครม.
ไม่เห็นมีใครซีเรียสอะไรกับเรื่องหุ้นของตน นายกฯ ก็ไม่ได้ถาม
นอกนั้น รมว. กต.
ซึ่งเที่ยวไปบอกนานาชาติว่าประเทศไทยมีสิทธิมนุษยชนเต็มเปี่ยม
ขณะที่องค์การสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติ ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาล
คสช.ยุติการละเมิดสิทธิพลเมืองอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตอบคำถามเรื่องสปิริตลาออกอย่างกวนๆ
ให้ไปเรียกร้องเอากับนักกีฬาสิ
ขณะที่เมื่อวานซืนนายดอนยกข้อต่อสู้มาอ้าง ว่าภรรยาของตนได้ทำการโอนหุ้นไปให้ลูกชายแล้วเมื่อเดือนก่อน
เหลือจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
แต่ว่า
เพิ่งมาจัดการเมื่อผ่านมาแล้วเป็นปีๆ ทั้งที่กฎหมายระบุให้แจ้งภายใน ๓๐ วัน
แถกันไปข้างๆ คูๆ อย่างนี้ คสช.ทำได้ บิดเบี้ยวเหนือกฎหมายเป็นความเคยชิน
ทีกับคนที่เรียกร้องต้องการเลือกตั้งเสียที พวกนี้กลับโดนข้อหาระนาว
ประชาไททำสถิติเป็นกร๊าฟฟิคไว้เห็นแล้วน่าโมโห
คดีผู้รวมตัวชุมนุมที่หน้าสำนักงานสหประชาชาติ ๖๒ คน หรือ ‘ยูเอ็น ๖๒’ ล้วนเป็นนักศึกษาและชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น
แม้หลายคนทำกิจกรรมบ่อยหน่อย ออกมาเรียกร้องหลายครั้ง ก็โดนแล้วโดนอีกหลายคดีถึง
๓๖ คน
พวกหน้าใหม่อีก ๒๖ คน บางคนโดนสองข้อหา
ขัดคำสั่ง คสช. ฉบับเก่ง ๓/๒๕๕๘ ที่งัดออกมาใช้ปราบนักประชาธิปไตยโดยตรง ประกบด้วย
มาตรา ๑๑๖ ข้อหาอั้งยี่ ส้องสุมกันขัดขวางผู้ครองเมือง
นี่ก็ข้อหาโหลที่องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติบอกว่าเลิกอ้างได้แล้ว
แต่ คสช. ทำหน้าเหลอเลิกคิ้วนิดนึงแล้วบอกว่า ไอโนโนว ยูคัมคัมลงทุนอีอีซี
ขณะที่คนรุ่นใหม่ในประเทศร้องยี้ เมื่อ ผอ. กระทรวงยุติธรรมออกมาต่อต้านการใช้อุปกรณ์ประกอบกาม
แนะให้นั่งสมาธิและเล่นกีฬาแก้กำหนัดแทน