คำพูดของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ชี้ให้เห็นธาตุแท้
หรือสันดานของผู้ที่เป็นลิ่วล้อ ขี้ข้า คสช. มูมมามกับประโยชน์แห่งตน
เป็นตัวอย่างของการคอรัปชั่นตัวร้ายที่สุด คือคอรัปชั่นทางการเมือง
ในฐานะหัวหน้าพรรคชื่อ ประชาชนปฏิรูป ไพบูลย์ตั้งโต๊ะแถลงกำพืดของพรรคตนว่า
เห็นด้วยให้ คสช. อย่างเพิ่งปลดล็อคการเมือง
ซึ่งก็คือห้ามพรรคการเมืองเก่าทั้งหลายหาเสียงจนกว่าจะเสร็จสิ้นเลือกตั้งไปแล้ว
ถ้าหาก คสช.
หน้ามืดตามัวทำตามข้อเสนอของไพบูลย์ ก็จะแสดงเจตนาชัดเจนว่ากีดกันพรรคการเมืองอื่นๆ
ที่ไม่ได้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังเลือกตั้ง ตามแผนการณ์ของไพบูลย์
ที่เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
โดยไพบูลย์โป้ปดหรือบิดเบือนว่าเพราะ “ทั้งตัวเองและครอบครัวไม่มีเรื่องทุจริตคอรัปชั่น”
อ้างว่า “ข้อวิพากษ์วิจารณ์อาจเกิดขึ้นกับบุคคลร่วมรัฐบาล” เท่านั้น
หากไพบูลย์ไม่ใช่นักปลิ้นปล้อนตามการประพฤติที่ปรากฏ
ไพบูลย์ก็เป็นนักการเมืองลูกน้องเผด็จการที่ชุ่ยและมักง่าย
ไม่คิดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนพูด
ในเมื่อพล.อ.ประยุทธ์เองมีข้อครหาเรื่องขายที่ดินมรดกจากพ่อให้กับเสี่ยเจริญบริษัทไทยเบฟ
เป็นเงินถึง ๖๐๐ ล้าน ผ่านบริษัทลับเลี่ยงภาษีตั้งอยู่ที่หมู่เกาะบริทิชเวอร์จิน
ไม่มีใครบังอาจสอบสวนได้
โดยเฉพาะข้อกล่าวหาคอรัปชั่นในวงครอบครัว
ก็เกิดกับน้องสะใภ้และหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์เอง แม่โอนเงินกองทัพภาคเข้าบัญชีส่วนตัว
ลูกเปิดบริษัทรับเหมางานกองทัพภาคที่พ่อเป็น ผบ. รวมแล้ว ๓๐๐ ล้าน
มีผู้บริหารสามคนเงินลงทุน ๓ ล้าน
ไหนจะตัวพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา รับเงินเดือนหลายหมื่นในตำแหน่ง
สนช.อยู่หลายปี โดยขาดประชุมเป็นว่าเล่น แต่ก็ไม่มีการรับผิดใดๆ
ที่ไพบูลย์บอกว่า “ผมทำหน้าที่ตรวจสอบผู้บริหารระดับสูง
ทำให้นายกฯ ในรัฐบาลก่อนพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว
วันนี้ตรวจสอบพล.อ.ประยุทธ์แล้วไม่พบปัญหา” จึงเป็นการโกหกอย่างหน้าด้านๆ
ชนิดที่ทำให้เคลือบแคลงความโปร่งใสของประยุทธ์ยิ่งขึ้นไปอีก
อีกทั้งการที่ คสช.
และรัฐบาลประยุทธ์ปล่อยให้ไพบูลย์เสนอนโยบายแก่ตน เพื่อเอาเปรียบกีดกันพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
และทำการโกหกสังคมเช่นนี้ ถึงประยุทธ์จะอ้างว่าไม่รู้เห็น เป็นความหวังดีอย่างมักได้ของคนนั้นเองก็ตาม
หากไม่สนใจที่จะชำระล้าง ความแปดเปื้อนย่อมติดอยู่กับประยุทธ์
ส่วนจะไปเอาผิดกับผู้ที่ทำให้เปื้อนหรือไม่เป็นอีกเรื่อง