วันอาทิตย์, มิถุนายน 10, 2561

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ห้ามฝ่ายแดงและเหลือง "ฟาดฟันกันรอบใหม่ไม่ได้” แต่ตนเอง "ยังอยู่ในสภาพที่ถูกนายสุเทพค้ำหัว"

ถ้าเป็น สองไม่เอา กลางเก่ากลางใหม่บางคน อาจจะขนลุกซ่าเมื่อได้อ่านที่ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ว่าที่หัวหน้าพรรคเทือกตั้ง (ชื่อจริง รวมพลังประชาชาติไทย ชื่อย่อก็ รปช.) ชักชวน ฝ่ายสีแดงและฝ่ายสีเหลือง เลิกตบตีกัน อันจะเป็นผลพวงให้เลิกบริภาษณ์พรรคตนตามไปด้วย

แล้ว “ร่วมกันเป็นผู้นำในการรู้รักสามัคคี ทำให้ประเทศไทยของเราออกจากความมืดมน ความท้อแท้ และความชิงชัง ให้บ้านเมืองเราได้ตรลบอบอวลไปด้วยความหวัง ให้ประชาชนได้เห็นแสงสว่าง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวของเราสบายพระทัยว่าในรัชสมัยใหม่ของพระองค์ประเทศไทยต้องสงบสันติ”

จุดหมายปลายทางของเขาว่าอย่างนั้น แต่ความต้องการเฉพาะหน้า (คงจะ) อยู่ที่ “พรรคการเมืองทั้งหลายจะจมอยู่กับอดีตไม่ได้ จะแตกแยกต่อไป ไม่คิดใหญ่ และอาศัยแต่ไขสันหลัง ใช้แต่สัญชาติญานเดิม เตรียมตัวฟาดฟันกันรอบใหม่ไม่ได้”

ฉะนั้น เอนกจึง “ขอเถอะครับ อย่ามองแต่ความขัดแย้งในอดีต เราตั้งพรรคเพื่อวันข้างหน้า เพื่ออนาคต เป็นสำคัญ” ซ้ำยังยื่นกิ่งมะกอกแก่ “ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย...ยืนยัน จะไม่ผูกขั้วเป็นศัตรู หรือ เป็นปรปักษ์กับพรรคใดๆ ฝ่ายใดๆ สีใดๆ ไม่ผูกมัดตัวเองก่อนเวลาเกินไปว่าจะรวมกับใคร ไม่รวมกับใคร”

เอนกยังยกเอาเหตุการณ์นอกบ้านในการเมืองโลกมาเป็นข้อหนุน ว่าดูสิมหาเธร์ยังจับมือกับอันวาร์ได้ นี่ดอแนลด์ ทรั้มพ์ กำลังจะไปจับมือกับคิมจองอันที่สิงคโปร์ ไหนๆ ก็ไหนๆ “สองขั้วที่เป็นปรปักษ์กันอยู่นั้น ก็ล้วนบอบช้ำพอๆ กันแล้ว และจะทุกข์ทวีขึ้นเรื่อยๆ”


จะซึ้งแค่ไหนก็ฟังไม่ค่อยขึ้นนักนะ ในเมื่อหลายต่อหลายคนทุกสีทุกฝ่ายอ่านเจตนาของเอนกออก ว่าต้องการลดการโจมตี รปช. ว่าเป็นพรรคเทือกตั้ง และการตระบัดสัตย์เพื่อชาติของผู้ก่อตั้งติดตรึงอยู่ในส่วนหัวของพรรค

ดังนั้น คำวิงวอนของเอนก แม้นจะผาดโผน เล่นกายกรรมห้อยโหนเพียงใดว่า “ย่อมจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันสูงค่าอยู่และเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม” ก็ยังน่าจะเป็นหมัน อาจไปไม่ถึงดวงดาว และอาจไม่ทัน แจ้งเกิด เสียด้วย

คนส่วนใหญ่อ่านเจตนาระหว่างบรรทัดในข้อความเฟชบุ๊คของเอนกได้ว่า เพียงจะลบเลือนความไม่พอใจ ไปกระทั่งถึงเกลียดชังต่อการปลิ้นปล้อนของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ จากพวกที่เคยเป็นฝักฝ่ายของ ลุงกำนันนั่นเอง

จากบทความใน ผู้จัดการสุดสัปดาห์เมื่อวันวาน (๙ มิ.ย.) ซึ่งกล่าวถึงการ กลืนน้ำลาย-ตระบัดสัตย์ ของนายสุเทพ ที่หลั่งน้ำตากลางที่ประชุม พูดถึงวีรกรรมวีรเวรของ กปปส. หวังดึงคนเหล่านั้นกลับมาเป็นฐานคะแนนเสียงให้แก่พรรค รปช. ว่า

“หลงลืมธง ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง’ ที่เคยแผดเสียงลั่นเวทีชุมนุม กปปส.” แต่การกลับมาตั้งพรรคการเมือง “เท่ากับเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งที่เห็นชัดเจนว่าใน ‘ยุคทหารครองเมือง’ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตลอด ๔ ปีเศษที่ผ่านมา

วาระปฏิรูป’ ไปไม่ถึงไหน มาวันนี้กลับตาลปัตรจะมาชูธง เลือกตั้งก่อนปฏิรูป’ กันซะแล้ว”
 
ถ้อยคำในบทความของ ผู้จัดการที่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยเปิดตัวไม่สวย “จนทำให้อนาคตดูจะไม่สดใสเท่าที่ควร” เนื่องจาก “นอกจากฝ่ายตรงข้ามที่รุมสกรัมสุเทพอย่างต่อเนื่องแล้ว ‘คนกันเอง’ ก็ร่วมสหบาทาไปด้วย”

ผุ้จัดการอ้างว่ามี สื่อบางค่าย ขุดคุ้ยอดีตของเทพเทือกอย่างรู้เช่นเห็นชาติ “ทั้งที่มีคีย์แมนระดับใกล้ชิดกับสุเทพมาก่อน แต่ปัจจุบันเริ่มเอนเอียงไปทาง ‘พรรคทหารเบอร์ ๑’ เสียแล้ว” นั้น

ประจวบกับการที่ ปปช. ถึงคิวรื้อคดีทุจริตโรงพักทดแทน ๓๙๖ แห่ง (ที่ว่าเป็นจุดตายของเทือก) “อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็ตีความได้ว่าบิ๊กทหารยื่นหมัดมาค้ำคอสุเทพเอาไว้ เพื่อส่งสัญญาณปรามว่า อย่านอกลู่นอกเลน”


มิใยที่มีคอมเม้นต์หนักหน่วงต่อบทความชิ้นนี้ (จาก Atukkit Sawangsuk) ว่า “ผู้จัดการ ของอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ นี่ชัดเจนนะว่าไม่เอาไอ้เทือก (คงรู้ไส้รู้พุงกันดี)

เป็นท่าทีของพันธมิตรกลุ่มที่ไม่เอาทุกฝ่าย ด่าทั้ง คสช. ปชป. ไอ้เทือก เพื่อไทย แต่ขณะเดียวกันก็ด่าอนาคตใหม่ และคนอยากเลือกตั้ง (เหลือแต่พวกกรูเท่านั้นที่เป็นของแท้)” ก็ตามที

บางสิ่งที่ได้รับรู้จากบทความนี้ก็คือ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้สละคราบนักวิชาการเด่นดังด้วยทฤษฎี สองนคราไม่เหลือหรอ ซ้ำในระยะหลังๆ ได้ถวายตัวเป็นข้ารองบาททุกชาติไปต่อพระมหากษัตริย์ไทย แล้วกระโดดเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มคราบ แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ถูกนายสุเทพค้ำหัว

นอกจากนั้นการร่วมตั้งพรรคการเมืองกับนายสุเทพและอดีต กปปส. บางคน อย่าง สุริยะใส กตะศิลา ประสาร มฤคพิทักษ์ จักษ์ พันธ์ชูเพชร และ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล กลายเป็น เบี้ยรองบ่อน ของพรรคทหารไปเสียฉิบ
 
อะไรก็ตามที่เอนกพยายามอภิปรายว่าเป็นการเมืองใหม่ การปรองดอง และประชาธิปไตย ล้วนแต่เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อจะดึงฐานคะแนนเสียงจากพวกสองไม่เอาที่ยังละล้าละลัง จะกลับไปหา ปชป. ก็บ้อท่า จะหันมาเพื่อไทยก็ไม่ไหว จะเบนไปอนาคตใหม่ก็โดนโจมตีเสียแต่ต้นว่าล้มเจ้า

แต่สองไม่เอาเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวชี้ได้ว่ารัฐประหารจะวางมือ และจิตสำนึกที่ถูกครอบงำจากระบบชนชั้นให้เผด็จการฟุ้งเฟื่องมาได้อย่างน้อยๆ สี่ปีนั้น จะถูกปลดแอก แล้วมุ่งไปหาประชาธิปไตยแท้จริงได้ไหม