วันศุกร์, มีนาคม 09, 2561

ผลงาน คสช. แท้ๆ ที่ทำให้ข้าราชการโกงกันมโหฬาร


ได้อ่านโพสต์ภาพกร๊าฟฟิคข้อความเหน็บแนมชิ้นหนึ่งแล้วใช่เลย ที่ว่า “ขอบคุณ คสช. ที่กันนักการเมืองออกไปถึง ๓ ปี ทำให้เห็นชัดเจนว่าลำพังระบบราชการล้วนๆ นี่แหละโกงกันมโหฬาร ทำสถิติสูงสุด”

มันพ้องพอดิบพอดีกับโพสต์ของ KonthaiUkที่เผยให้เห็นของจริง “ยิ่งแฉยิ่งฉาว ยิ่งสาวยิ่งเจอ! ปมทุจริตเงินคนจนลามแล้ว ๒๔ จังหวัด”

จากกรณีนางสาวปณิดา ยศปัญญา หรือ น้องแบมนิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดโปงการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ติดเชื้อเอชไอวีของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น จนกลายเป็นวีรสตรีที่ทางการพากันยกย่องสรรเสริญ

โดยเฉพาะกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และสำนักงานป้องปราบทุจริตฯ ออกตรวจสอบขนานใหญ่ ในจังหวัดที่ได้งบประมาณเกิน ๑ ล้าน พบว่าการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง มีความผิดปกติถึง ๒๔ แห่ง ด้วยวิธีการ “ใช้ชื่อเมียกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านเบิกงบ”


ชวนให้นึกย้อนไปถึงคดียักษ์ที่ใช้เป็นเครื่องมือบีบคั้นอดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหลีกลี้หนีออกไปต่างประเทศทั้งที่ไม่น่าจะเป็นความผิด หากข้อกล่าวหาว่าทำให้ประเทศเสียหายเป็นแสนๆ ล้าน

จากโพสต์ของ Thuethan Prasobchoke ซึ่งอ้างถึงข่าวที่ปลัดกระทรวงการคลังแถลงตัวเลขการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ปรากฏว่าแท้จริงแล้วขาดทุนไม่ถึง ๑ แสนล้าน “และถ้าดูผลประกอบการรวมของรัฐบาล อาจจะบอกได้ว่า ไม่ขาดทุนด้วยซ้ำ”

เขาอธิบายรายละเอียดว่า เมื่อเริ่มโครงการจำนำข้าวในปี ๒๕๕๕ ชาวบ้านมีเงินในมือสำหรับจับจ่าย จึงทำให้เศรษฐกิจอูฟู ปีนั้นจัดเก็บภาษีได้แสนล้าน ต่อมาปี ๕๖ ยอดจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น ๑ แสน ๔ หมื่น ๗ พันล้าน

ครั้นถึงปี ๕๗ หลังจากที่มีการเป่านกหวีด-ปิดบางกอก เพื่อบีบคั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กรุยทางให้ทหารเข้ายึดอำนาจ ปริมาณการจัดเก็บภาษีลดลงไปกว่าเดิมถึง ๓ หมื่น ๔ พันล้านบาท พอปี ๕๘ ดีหน่อย แต่ก็ยังน้อยกว่าปีก่อนหน้าอยู่อีก ๕๓๗ ล้าน
 
เขาชี้ว่ารายได้เข้ารัฐรวมเมื่อตอนที่มีโครงการจำนำข้าวเพิ่มจากเมื่อก่อนถึง ๓ แสนล้านบาท แต่ตัวเลขขาดทุนโครงการจำนำข้าวไม่ถึง ๑ แสนล้านบาท “จะถือว่าขาดทุนหรือไม่ก็ลองพิจารณาดู

นี่ยังไม่เอาความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวนา และการค้าขายที่คึกคักมาคิดด้วย เมื่อเอามาเทียบกับรัฐบาลทหาร”


กลับไปที่เรื่องฮิตของวงราชการยุค คสช. ขณะที่ทหารครองบ้านครองเมือง ข้าราชการก็กินบ้านกินเมืองกันมั่งคั่งมั่นคง จากกระทรวงพัฒนาสังคมลามไปถึงกระทรวงศึกษา

“ตรวจพบทุจริตโครงการเสมาพัฒนาชีวิต เงินทุนการศึกษาเด็กนักเรียนหญิงเหยื่อตกเขียวช่วงสิบปีที่ผ่านมารวมกว่า ๘๘ ล้านบาท ถูกยักยอกไปกว่า ๑๑ ล้านบาท” ด้วยกรรมวิธีแยบยล ระหว่างปี ๒๕๕๑ ถึง ๒๕๖๑

“โดยมีการโอนเงินทุนการศึกษาของนักเรียนในโครงการเข้าบัญชีของบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ได้แก่บัญชีของญาติพี่น้องและคนรู้จักก่อน จากนั้นค่อยโอนต่อไปยังหน่วยงานรับทุน แต่ปรากฏว่าเงินโอนเข้าหน่วยงานหดไปเหลือแค่ ๗๗ ล้านบาท


นัยว่ากองทุนดังกล่าว (แก้ปัญหาเด็กผู้หญิงถูก ตกเขียว ล่อลวงไปค้าประเวณี) นี้ตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๖๔๒ สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายอาทร จันทวิมล รองปลัด ศธ. ขณะนั้น เป็นผู้ประสานงานขอเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาช่วย

แต่แล้วกองทุนเงียบไป “มีใครทำอะไรเลยทำให้ไม่มีใครสนใจ นายอาทรยังสอบถามเลยว่ากองทุนนี้ยังอยู่หรือไม่” ความที่ไม่อยู่ในสายตามหาชน การคอรัปชั่นจึงเกิดขึ้นโดยง่าย ท่ามกลางความใส่ใจของ คสช. ที่จ้องแต่จะ มั่งคั่ง-ยั่งยืนเพื่อตนเอง
อุ้มกันเป็นทอดๆ ดังที่การ์ตูน ไข่แมว แซวไว้