วันพุธ, ตุลาคม 08, 2557

คสช.คะแนนวูบ?


โดย ปกรณ์ พึ่งเนตร
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

ตั้งรัฐบาลได้ไม่นาน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง แม้จะยังไม่เห็นชัดเจนมากนัก

แต่เสียงวิจารณ์หนักๆ เริ่มกระจายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

คือไม่ใช่มีเสียง"ตำหนิ ติ ด่า"เฉพาะจากฟากคนเสื้อแดงหรือกลุ่มต้านรัฐประหาร แต่ความจริง ณ วันนี้ คือ ผู้ที่เคยสนับสนุนและให้โอกาสกับคสช. ก็เริ่มรับไม่ได้กับบางเรื่องแล้วเหมือนกัน

เจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานสนับสนุน คสช. และรู้จักคุ้นเคยกับสื่อ เริ่มส่งไลน์หรือโทรศัพท์สอบถามความเห็นผู้สื่อข่าว เพราะทราบดีว่าทัศนะของคนทำข่าวย่อมสะท้อนให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกของสังคม

คำถามสั้นๆ แต่สะท้อนนัยอย่างชัดเจนยิ่ง คือ"คะแนนนิยมรัฐบาลเริ่มตกแล้วใช่ไหม?"

มีการประเมินกันว่าเรื่องร้อนๆ เฉพาะหน้า 3 เรื่องที่ทำให้รัฐบาลและ คสช.ถูกตั้งคำถามมาก คือ 1.การขึ้นราคาพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ 2.การแต่งตั้ง"คนนอก"เข้าไปเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และ 3.ข่าวยุบ อบจ.-อบต.

ข้อแรก เรื่องพลังงาน เป็นประเด็นขัดแย้งทางความคิดที่หาจุดลงตัวยาก ถือว่าพอยอมรับได้ แต่ข้อ 2 กับ ข้อ 3 นี่สิ ต้องบอกว่ารัฐบาลไม่น่าทำเลย

ข้อ 2 เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลเสียคะแนนไปแล้ว และเสียแนวร่วมที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างดีไปเยอะพอสมควร

ขณะที่ข้อ 3 แม้จะยังไม่เกิดขึ้น และผู้เกี่ยวข้องอ้างว่าสื่อ"มโน"ไปเอง แต่ข่าวนี้ก็มีปรากฏร่องรอยมาตลอด

โดยเฉพาะครั้งหลังสุดว่าด้วยโมเดลยุบ อบจ.รวมกับเทศบาล และใช้ระบบ"กึ่งลากตั้ง"กับเทศบาล 3 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล โดยเทศบาลจะเป็น อปท.แบบเดียวที่เหลืออยู่ ยกเว้นแบบพิเศษ ต้องบอกว่าเอกสารที่หลุดออกมาเป็นเอกสารการประชุมทางราชการ

ฉะนั้นถึงแม้จะปฏิเสธแต่ก็คงปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก!

สิ่งที่จะวัดอนาคตของรัฐบาลจึงอยู่ สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ว่าออกแบบการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาอย่างไร

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ประเด็นที่ถูกวิจารณ์ทั้ง 3 เรื่อง ยังเป็นประเด็นที่โยงกับการทำงาน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีคนชอบและไม่ชอบ โดยเฉพาะนโยบายที่มีความอ่อนไหว

ทว่าสิ่งที่ทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาล และ คสช.ดิ่งลงเร็ว ก็คือ การเล่นพรรคเล่นพวก แต่งตั้งคนที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความรู้ความสามารถ หรือคนที่ประชาชนไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร เข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญ

หลายกรณีปรากฏใน สปช. บางกรณีปรากฏในการบริหารราชการกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ

เพราะประเด็นนี้คือสิ่งที่ คสช.ประกาศเอาไว้ว่าตนเองมี"ธรรมาภิบาล"สูงกว่านักการเมือง ขณะที่การย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งต้องหลุดจากตำแหน่ง

การแต่งตั้ง โยกย้าย หรือปรับย้ายอย่างไม่มีเหตุผลรองรับที่ดีพอในยุค คสช. จึงเป็นเรื่องย้อนรอยคำพูดตัวเอง ย้อนรอยพฤติกรรมของตน

เหมือนกับความพยายาม"ดิ้น"ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยหัวหอกคือคนที่เป็นที่ปรึกษา คสช. ย่อมทำให้ คสช.ทั้งคณะเสียเครดิตไปด้วย

ขณะที่เนื้องานแท้ๆ ของรัฐบาลก็เริ่มถูกตั้งคำถามเช่นกันว่าจะทำจริงหรือไม่ ทำจริงแค่ไหน?

อย่างเช่น การเก็บภาษีมรดก กับภาษีที่ดิน ซึ่งปรับมาจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน ไปๆ มาๆ ผู้รู้บอกว่าอาจหาเงินเข้ารัฐได้ไม่เยอะจริง เพราะเขียนกฎหมายแบบเกรงใจคนร่ำรวย เกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

สุดท้ายอาจเป็นอย่างที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาเคยพูดปลอบเอาไว้ในรายการคืนความสุขฯ ทำนองว่าอย่าเพิ่งตกใจ อย่าเชื่อข่าวลือ เพราะจะเก็บภาษีเหล่านี้"เป็นสัญลักษณ์"ของการสร้างความเท่าเทียมเท่านั้น

ถอดรหัสแล้วได้ความว่า แหล่งรายได้ที่จะรีดกันจริงๆ คงหนีไม่พ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ"วีเอที"ที่คนจนในฐานะผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเท่านั้นที่รับกรรม และผลักภาระไปให้ใครไม่ได้เลย...

หรือนี่คืออนาคตประเทศไทยภายใต้โลโก้ คสช.