วันจันทร์, สิงหาคม 05, 2567
RECAP: ทำไม "พรรคก้าวไกล" ไม่ควรถูกยุบ เปิดบันทึกความเห็น ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน
The Reporters
10 hours ago
·
RECAP: เปิดบันทึกวามเห็น ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ต่อคดียุบพรรคก้าวไกล ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ระบุว่า ยังไม่มีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันจะเป็นเหตุให้นำไปสู่การพิจารณายุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 The Reporters ขอนำบันทึกความเห็นของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายมหาชน ที่พรรคก้าวไกล นำมายื่นต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า
ข้อ 1. ข้าพเจ้า ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายกสภามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เคยดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำรงวิทยฐานะเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชากฎหมายมหาชน ในฐานะเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ทางด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ตลอดจนกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมือง ขอให้ความเห็นต่อคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล ในคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพิจารณาที่ 10/2567 ต่อศาลรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้
พรรคการเมืองเป็นองค์กรที่มีสถานะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างประชาชนกับรัฐ ช่วยรวบรวมความปรารถนาที่หลากหลายของประชาชนเข้าด้วยกัน แล้วนำเสนอออกมาเป็นนโยบายของพรรคการเมือง โดยกระบวนการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนจนนำมาสู่ข้อเสนอในทางนโยบายของพรรคการเมืองนี้มีจุดหมายเพื่อดึงดูดแรงสนับสนุนจากประชาชนให้กว้างขวางที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน พรรคการเมืองย่อมลดทอนข้อเสนอที่สุดโต่ง (radical) และพยายามแสวงหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ซึ่งเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็ต้องพยายามผลักดันเจตจำนงของประชาชนให้กลายเป็นกฎหมายหรือนโยบายของรัฐต่อไป
นอกจากนี้พรรคการเมืองยังเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลที่ต้องการแสดงออกในทางการเมืองและประสงค์ที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก แสดงให้เห็นว่าการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองของประชาชนนั้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้แก่ สิทธิในการรวมกลุ่มกันทางการเมือง และสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง ดังนั้น มาตรการยุบพรรคการเมือง จึงถือเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง ด้วยเหตุผลดังกล่าว มาตรการยุบพรรคการเมืองหากจะมีขึ้นจึงจะต้องอยู่ภายใต้หลักการสากล
กล่าวคือการยุบพรรคการเมืองต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมาตรการยุบพรรคการเมืองต้องไม่กระทบสารัตถะสำคัญแห่งสิทธิจนเกินสัดส่วน ภายใต้การใช้การตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด ลำพังการนำเสนอแนวคิดเพื่อแลกเปลี่ยนผ่านกลไกต่าง ๆ อย่างสันติของพรรคการเมืองภายใต้วิถีทางรัฐธรรมนูญ ไม่อาจเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายประชาธิปไตยแต่ประการใด นอกจากนี้ กระบวนการยุบพรรคการเมืองต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม และที่สำคัญที่สุด ผลลัพธ์ของการยุบพรรคต้องเป็นการธำรงรักษาประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อทำลายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
นอกจากนี้ มาตรการยุบพรรคการเมืองถูกถือเป็นมาตรการที่มีผลบังคับรุนแรง และไม่เป็นประชาธิปไตยในตัวเอง ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าวโดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายและพยานหลักฐานที่ชัดเจนน่าเชื่อถือรองรับอย่างหนักแน่น จะนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความชอบธรรมและประสิทธิภาพของมาตรการนี้และองค์กรที่กำหนดให้ใช้มาตรการนี้ด้วย ดังนั้น มาตรการยุบพรรคการเมืองอันเป็นการปกป้องประชาธิปไตยจึงต้องพิจารณาบนหลักการสำคัญ กล่าวคือ
1) การยุบพรรคการเมืองต้องนำไปสู่การรักษาสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่เพื่อทำลายปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมืองต่อไป
2) การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองนั้น ต้องไม่เพียงแค่เป็นเพียงความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของการใช้ความรุนแรงนอกกรอบของรัฐธรรมนูญอยู่ การเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงตามวิธีทางรัฐธรรมนูญโดยสันติวิธีย่อมไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง
3) การยุบพรรคการเมืองนั้นมีเหตุแห่งความชอบธรรมเพียงพอหรือน่าเชื่อถือหรือไม่ และกฎหมายที่ระบุเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองต้องมีความชัดเจนว่าครอบคลุมการกระทำอะไรบ้าง โดยไม่คลุมเครือ ไม่กว้างขวางจนเกินไป กระบวนการยุบพรรคการเมืองต้องเคารพสิทธิของพรรคการเมือง และผู้ถูกกล่าวหาต้องได้รับการพิจารณาในกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และ
4) กฎหมายที่ใช้ในการยุบพรรคการเมืองต้องเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไป ไม่เจาะจงใช้กับบุคคลหรือคณะบุคคลใดคณะบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ โดยกฎหมายนั้นต้องตราขึ้นโดยผู้แทนปวงชนซึ่งมีกระบวนการนิติบัญญัติที่ได้มาตรฐานและชอบธรรม
โดยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นหากมาตรการยุบพรรคการเมืองเปลี่ยนจากกลไกป้องกันประชาธิปไตย (defensive mechanism) ไปเป็นอาวุธ (weaponizing) ในทางการเมืองการยุบพรรคการเมืองก็จะกลายเป็นการปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และบีบบังคับให้สังคมลดความหลากหลายของความคิดเห็นที่แตกต่างลง และเป็นผลร้ายอันนำไปสู่การทำลายประชาธิปไตยเสียเอง นอกจากนี้การยุบพรรคการเมืองนั้น ควรเป็นมาตรการสุดท้ายในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร หากมีมาตรการลงโทษอย่างอื่นมาใช้แทนการยุบพรรคการเมือง ก็ควรที่จะนำมาบังคับใช้ แต่ถ้าการกระทำอันเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคการเมืองนั้นเกิดขึ้นจริงก็ควรที่จะปรากฏในรัฐธรรมนญและกฎหมายอย่างชัดเจน และการกระทำของพรรคการเมืองที่ต้องถูกยุบนั้นก็ต้องมีเหตุจากการมีอุดมการณ์ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรและกิจกรรมที่ขัดหรือแย้งกับอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีการแสดงออกมาผ่านการกระทำ แผนงาน หรือคำปราศรัยที่ชัดแจ้งว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้การตีความไปในแนวทางดังกล่าวจะต้องตีความโดยเคร่งครัด และมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนประกอบด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญพึงคำนึงถึงหลักเกณฑ์ที่ไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกในทางระหว่างประเทศ รวมถึงแนวปฏิบัติที่นานาอารยะประเทศได้วางหลักการไว้ เพื่อป้องกันมิให้เป็นข้อครหาหรือข้อวิจารณ์เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมและการเมืองของประเทศไทยว่า มาตรการยุบพรรคการเมืองกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แทนที่จะเป็นเครื่องมือในการปกป้องประชาธิปไตย ด้วยอาจจะเกิดผลกระทบในทางระหว่างประเทศได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ สหภาพยุโรป ได้มีข้อแนะนำว่าด้วยการห้ามการยุบพรรคการเมืองและมาตรการอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง (Guidelines on Prohibition and Dissolution of Political Parties and Analogous Measures) ที่จัดทำโดย The European Commission on Democracy Through Law หรือคณะกรรมการเวนิส (Venice Commission) ลงวันที่ 10 มกราคม 2,000 ตามคำร้องขอจาก The Secretary General of the Council of Europe ซึ่งดูแลกิจการของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป โดยอาจยึดถือเป็นแนวทางสากลในการยุบพรรคการเมืองได้ คณะกรรมการเวนิสวางหลักสำหรับการยุบพรรคการเมืองไว้ 7 ประการ ดังนี้
(1) รัฐต้องรับรองว่าประชาชนมีสิทธิที่จะจัดตั้งหรือเข้าร่วมพรรคการเมืองอย่างเสรีกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง เห็นว่าในสาขาวิชากฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า คำอธิบายหลัก “เหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ของการกระทำขององค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลาย นั้น แบ่งออกเป็น 2 เหตุ กล่าวคือ เหตุภายนอก อันได้แก่
(1) การไม่มีอำนาจกระทำการ คือ กฎหมายกำหนดให้องค์กรหนี่งมีอำนาจ แต่อีกองค์กรหนึ่งกลับไปใช้อำนาจกระทำการ หรือ กฎหมายกำหนดให้องค์กรหนึ่งมีอำนาจเฉพาะในเขตพื้นที่นี้ แต่กลับไปใช้อำนาจนอกเขตพื้นที่
(2) ไม่กระทำตามรูปแบบอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดให้ทำคำสั่งเป็นหนังสือ และต้องให้เหตุผลประกอบคำสั่ง แต่กลับไม่ปฏิบัติตาม
(3) ไม่กระทำตามกระบวนการขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดว่าก่อนมีมติหรือคำสั่ง ต้องเรียกคู่กรณีมาชี้แจง โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐาน เสียก่อน แต่กลับไม่ปฏิบัติตาม และ เหตุภายใน ได้แก่ (1) เนื้อหาของการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ไม่เคารพหลักความเสมอภาค ไม่เคารพหลักความได้สัดส่วนหรือพอสมควรแก่เหตุ (2) ใช้ดุลพินิจโดยบิดผันไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย เช่น ออกคำสั่งไปโดยมีวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด ออกคำสั่งโดยต้องการกลั่นแกล้ง ไม่สุจริต
กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสนอคำร้องยุบพรรคก้าวไกลนี้ ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุภายนอก เหตุที่สาม กล่าวคือ “ไม่กระทำตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด” โดยการกระทำใดที่ไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดอันส่งผลให้การกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและต้องถูกเพิกถอน ต้องเป็นกระบวนการขั้นตอนที่ไม่ได้ดำเนินการตามนั้น เป็นกระบวนการขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญด้วย ซึ่งกระบวนการขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญมีสองประการ กล่าวคือ
กล่าวคือ มาตรา 93 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 จะไม่มีที่ให้ใช้บังคับ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถเลือกที่จะใช้กระบวนการขั้นตอนตามมาตรา 92 ได้ทั้งหมด โดยไม่ให้พรรคการเมืองมีโอกาสชี้แจง โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง เช่นนี้แล้ว จะมีการบัญญัติ มาตรา 93 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ.2566 ไว้ในกฎหมายเพื่อเหตุผลใด ?
นอกจากนี้ บทบัญญัติในมาตรา 93ยังได้อ้างถึงมาตรา 92 ถึงสองที่ ที่แรก ในวรรคแรก “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 92 และในวรรคสอง “ในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 92 ” ความข้อนี้ ก็ย่อมหมายความอย่างชัดเจนว่า กรณีมาตรา 92 และมาตรา 93 มีความสัมพันธ์ต้องใช้ควบคู่กัน
ในกรณีที่พิจารณาอยู่นี้ แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเคยวินิจฉัยมาก่อนแล้วว่าพรรคก้าวไกลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ไม่สามารถอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาเป็นฐานในการยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกลต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยจงใจไม่ทำตามกระบวนขั้นตอนตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 กำหนดได้ เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นคดีตามมาตรา 49 แห่งรัฐธรรมนูญ แต่คำร้องยุบพรรคก้าวไกลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นคดีตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 อันเป็นคนละกรณีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังมีกระบวนการขั้นตอนนำคดีขึ้นสู่ศาล ตลอดจนผลในทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
ดังนั้น แม้จะมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3 /2567 คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ยังคงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนตามมาตรา 92 และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ.2566 ให้ครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คำร้องยุบพรรคก้าวไกลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567ได้แก่ มาตรา 92(1) ที่กล่าวหาว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตรา 92(2 ที่กล่าวหาว่า พรรคก้าวไกลได้กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยิ่งเป็นเหตุให้นายทะเบียนพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 93 และระเบียบฉบับดังกล่าวโดยเคร่งครัด โดยไม่อาจดำเนินการเป็นอย่างอื่นได้
ดังนั้น คำร้องยุบพรรคก้าวไกลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงจะต้องดำเนินการตามมาตรา 92 และมาตรา 93แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2562 ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง และคำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ย่อมเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือในคำวินิจฉัยกรณีการยุบพรรคการเมือง ซึ่งต้องมีความชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายมากเพียงพอ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว เห็นได้ว่า การกระทำใดจะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ต้องเป็นการกระทำที่ใช้กำลังบังคับ หรือเป็นการกระทำโดยใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง หรือเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบอบการปกครองแบบอื่นอย่างชัดแจ้ง เช่น การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปของรัฐเป็นสาธารณรัฐ เป็นต้น ตามที่ปรากฏในมาตรา 255 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้” เมื่อพิจารณาบรรดาการกระทำที่ถูกร้องของพรรคก้าวไกลแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า
(1) กรณีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นมิได้เป็นการใช้กำลังบังคับหรือเป็นการกระทำโดยใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง หรือเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบอบการปกครองแบบอื่นแต่ประการใด เป็นเพียงการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ อันได้แก่อำนาจนิติบัญญัติในการเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเท่านั้น อีกทั้งการเข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขฯ ที่ได้กระทำผ่านระบบรัฐสภา ต้องผ่านความเห็นชอบทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญทั้งก่อนและหลังการประกาศใช้ อันเป็นการกระทำที่ชอบด้วยวิถีทางของรัฐธรรมนูญอีกด้วย
ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการเสนอและพิจารณาร่างกฎหมายในระดับ “พระราชบัญญัติ” ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ก็เป็นพระราชบัญญัติด้วยเช่นกัน ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการเสนอแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาได้ ตลอดจนข้อเสนอในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือการแก้ไขบทบัญญัติที่มีลักษณะเดียวกันในอดีตนั้น ก็ปรากฏมาอยู่โดยตลอด เช่น ข้อเสนอคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งได้รับการตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี มีศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการ ที่เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเดิม เป็น “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดที่ต้องให้อำนาจ การสอบสวนดำเนินคดีในความผิดตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอำนาจจากเลขาธิการพระราชวัง”
ข้าพเจ้ายังมีความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วยว่าวิญญูชนทั่วไปย่อมไม่อาจมีทางที่จะเห็นไปได้โดยสามัญสำนึกว่าการทำคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีในอำนาจหน้าที่ของตุลาการ การเสนอร่างกฎหมายของสมาชิกรัฐสภาเพื่อพิจารณา หรือการตัดสินใจดำเนินบริการสาธารณะในเรื่องใดของคณะรัฐมนตรี จะมีลักษณะเป็นการบ่อนเซาะ ทำลายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีความเห็นเสนอมาต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
(2) กรณีการเสนอนโยบายของพรรคก้าวไกลในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตลอดจนการนำนโยบายดังกล่าวมาหาเสียงและเผยแพร่ นั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองย่อมมีฐานะเป็นตัวกลางที่คอยเชื่อมต่อระหว่างประชาชนกับรัฐ ช่วยรวบรวมความปรารถนาที่หลากหลายของประชาชนเข้าด้วยกัน แล้วนำเสนอออกมาเป็นนโยบายของพรรคการเมือง โดยกระบวนการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนจนนำมาสู่ข้อเสนอในทางนโยบายของพรรคการเมืองนี้มีจุดหมายเพื่อดึงดูดแรงสนับสนุนจากประชาชนให้กว้างขวางที่สุด และเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากประชาชนโดยทั่วไป ข้อเสนอในทางนโยบายของพรรคการเมืองจึงมีลักษณะเป็นการประนีประนอมแนวทางของกลุ่มความคิดต่าง ๆ เพื่อประคับประคองระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้แต่ละฝ่ายสามารถยอมรับความแตกต่างระหว่างกันได้ มิเช่นนั้นแล้ว การผลักดันนโยบายให้เกิดเป็นจริงก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายที่มีลักษณะสุดโต่ง รุนแรง พรรคการเมืองนั้น ๆ ก็ไม่อาจได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก เมื่อพิจารณาถึงการเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตลอดจนการนำนโยบายดังกล่าวมาหาเสียงและเผยแพร่ของพรรคก้าวไกล การกระทำดังกล่าวก็มิได้ปรากฏว่าเป็นการใช้กำลังบังคับหรือเป็นการกระทำโดยใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง หรือเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบอบการปกครองแบบอื่นแต่ประการใด หากแต่เป็นเพียงการนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยมุ่งเน้นประนีประนอมกลุ่มความคิดต่าง ๆ ในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าควรจะต้องมีบทบัญญัติในกฎหมายอาญาหรือคุ้มครองประมุขของรัฐมิให้ถูกหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นในระดับใดและภายใต้เงื่อนไขใดจึงจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อประคับประคองระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ซึ่งกรณีเช่นนี้ก็ปรากฏอยู่โดยทั่วไปในนานาอารยะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และในหลายประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ก็ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างมีวุฒิภาวะ ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรผู้มีอำนาจในการควบคุมตรวจสอบพรรคการเมือง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็เคยใช้ดุลพินิจในการพิจารณาวินิจฉัยยกคำร้องกรณีนโยบายหาเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลไว้แล้ว
นอกจากนั้นการนำนโยบายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้หาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลก็มิได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561แต่อย่างใด ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งก็มิได้เคยมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือสั่งห้ามนำเสนอนโยบายดังกล่าวในการหาเสียงเลือกตั้งแต่อย่างใดเลย
(3) กรณีการแสดงออกผ่านการรณรงค์ การปรากฏตัวในที่ชุมนุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล หรือการติดสติ๊กเกอร์แสดงความคิดเห็นของสมาชิกพรรค เห็นได้ว่า บรรดาการกระทำต่าง ๆ นั้นมิใช่เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล หากแต่เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็นส่วนบุคคลที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นในบางกรณีก็เป็นการกระทำอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และการปรากฏตัวในสถานที่ชุมนุมต่าง ๆ ก็มิได้จำเป็นว่าจะต้องเห็นด้วยกับประเด็น ข้อเรียกร้อง ในการจัดการชุมนุม และไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมแต่อย่างใด หรือในบางกรณีก็เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบว่าในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพร้อมจะสนับสนุนให้มีการนำความคิดเห็นของประชาชนเข้าไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีวุฒิภาวะเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งการกระทำดังกล่าวล้วนมิได้มีลักษณะเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีที่พรรคการเมืองที่มีข้อเสนอในการนำเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ไปถกแถลงในสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง
(4) สำหรับเรื่องการเป็นนายประกันให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย และการเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาของสมาชิกพรรคก้าวไกลนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เห็นได้ว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลจะใช้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประกอบคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย ก็มิได้หมายความว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นจะเห็นด้วยหรือสนับสนุนกับการกระทำของผู้ต้องหาหรือจำเลย ทำนองเดียวกับการเป็นทนายความแห่งคดีนั้น หรือผู้พิพากษาองค์คณะพิจารณาคดีในศาลที่มีการฟ้องร้องคดีนั้นจะต้องเห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำตามที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นถูกกล่าวหาแต่อย่างใด นอกจากนั้น การที่สมาชิกพรรคก้าวไกลเป็นนายประกันให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็มิได้เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด แต่ประเด็นปัญหาประการสำคัญก็คือ การกระทำของสมาชิกพรรคกับการกระทำของพรรค เป็นคนละการกระทำกัน หากสมาชิกพรรคผู้นั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็เป็นการกระทำที่ผู้นั้นต้องรับผิดชอบในการกระทำนั้นเอง ไม่ใช่พรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ มิเช่นนั้นแล้ว หากสมาชิกพรรคใดกระทำความผิดโดยเป็นการกระทำของตนเองแต่พรรคการเมืองต้องมารับผิดด้วย ย่อมเกิดผลประหลาดในทางกฎหมาย เพราะเป็นการนำการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาทำลายเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองของบุคคลอื่นทั้งหมด
ประเด็นที่สาม คือประเด็นที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญควรพิจารณาให้ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ ดังที่กล่าวมาข้างต้น มาตรการยุบพรรคการเมืองเป็นมาตรการในการธำรงรักษาประชาธิปไตย แต่กระนั้นการใช้มาตรการดังกล่าวก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยเอง เพราะอาจนำไปสู่การทำลายระบอบประชาธิปไตยไปในที่สุด เพราะการยุบพรรคการเมืองนั้นอาจจะส่งผลให้เกิดการปิดกั้นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์และสันติตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ ประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสียพื้นที่ทางการเมือง รวมถึงสูญเสียโอกาสในการก่อตั้งเจตจำนงทางการเมืองของตนลงโดยสิ้นเชิง และต้องตกเป็นผู้พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงในการแข่งขันกันเพื่อกำหนดทิศทางทางการเมืองจากคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาขององค์กรตุลาการ ตลอดจนไม่อาจทำให้เกิดการประสานประโยชน์ทางการเมืองของประชาชนทุกฝ่ายได้
อีกทั้งการยุบพรรคนั้นอาจส่งผลเป็นการทำลายการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพรรคการเมืองด้วยกันเอง ด้วยพรรคการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรนั้น มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารราชการแผ่นดินของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล หากการยุบพรรคการเมืองเป็นไปโดยไม่คำถึงความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และไม่คำนึงถึงบริบทสภาพแวดล้อมของระบบการเมืองแล้ว อาจส่งผลร้ายในอนาคต อันได้แก่ การทำลายดุลยภาพในทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ซึ่งอาจนำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภา ซึ่งเคยมีตัวอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
เมื่อพรรคการเมืองคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการก่อตั้งเจตจำนงทางการเมืองของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนฝ่ายข้างน้อย คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาที่เป็นการยุบพรรคการเมืองจึงต้องถูกใช้ในกรณีที่เป็นข้อยกเว้นอย่างแท้จริงเท่านั้น กล่าวคือ เฉพาะกรณีที่การกระทำของพรรคการเมืองที่ต้องถูกยุบนั้นมีเหตุจากการมีอุดมการณ์ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรและกิจกรรมที่ขัดหรือแย้งกับอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีการแสดงออกมาผ่านการกระทำ แผนงาน หรือคำปราศรัยที่ชัดแจ้งว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์พื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาดังกล่าวจะต้องให้เหตุผลที่ทรงพลังว่าเหตุใด
พรรคการเมืองหนึ่งจำเป็นต้องถูกทำลายไปจากระบอบการเมือง และมีเหตุผลอย่างหนักแน่นว่าไม่มีหนทางอื่นใดที่จะทำได้นอกจากการยุบพรรคการเมืองนั้นเสีย หากคำวินิจฉัยของศาลมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและการยอมรับของประชาชนและสังคม เพราะองค์กรตุลาการจะได้รับการยอมรับนับถือจากประชาชนและสังคมได้นั้น ก็ด้วยการที่คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาขององค์กรตุลาการนั้นมีเหตุผลที่ถูกต้องน่ารับฟังและสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของสังคมเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งส่งผลให้สังคมการเมืองนั้น ๆ เป็นสังคมการเมืองที่สงบสุข เนื่องด้วยคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษานั้น เป็นการชี้ขาดในเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ด้านต่าง ๆ ของประชาชน โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมือง รวมถึงเป็นการชี้ขาดที่กระทบอารมณ์ความรู้สึกของคู่ความหรือประชาชนเป็นการทั่วไป
สำหรับกรณีพรรคก้าวไกลนี้ เห็นได้ว่า (1) การเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (2) การเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (3) การนำนโยบายหาเสียง และการเผยแพร่นโยบายบนเว็บไซต์ (4) การแสดงออกผ่านการรณรงค์ การปรากฏตัวในที่ชุมนุม การติดสติ๊กเกอร์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรค (5) การเป็นนายประกันหรือเป็นผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรค ล้วนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ หรือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันเป็นวิสัยปกติ มิได้เป็นการใช้กำลังบังคับเพื่อล้มล้างการปกครอง หรือมิได้ใช้อำนาจเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้เป็นอย่างอื่น
ดังนั้น การกระทำต่าง ๆ ดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่อยู่ในวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง เมื่อคำนึงถึงสัดส่วนความรุนแรงของพฤติการณ์อันเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรค ตลอดจนต้องปรากฏพยานหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพียงพอว่านอกจากจะเป็นการใช้กำลังโดยรุนแรงแล้วก็ต้องมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้โดยใกล้เคียงต่อผลถึงขนาดด้วย ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวย่อมไม่อาจรวมถึงการแสดงทัศนะหรืออุดมการณ์ของพรรคการเมือง หรือการรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายโดยสันติตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเห็นได้ว่า บรรดาการกระทำดังกล่าวนั้นมิได้มีลักษณะที่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคก้าวไกลเลยแม้แต่น้อย
จากเหตุผลที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า พรรคก้าวไกลยังไม่มีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันจะเป็นเหตุให้นำไปสู่การพิจารณายุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ในท้ายที่สุด ด้วยความเคารพนับถือต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่านเป็นรายบุคคล ข้าพเจ้าขอเรียน ความคิดเห็นประการสุดท้ายด้วยความห่วงใยต่อวิกฤตการณ์และสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่จะเกิดจากผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ด้วยว่า การพยายามแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ซับซ้อนของชาติด้วยการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นกระบวนการที่ได้ใช้มาแล้วหลายครั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและแต่ละครั้งก็ไม่เคยทำให้เกิดทางออกหรือทางเลือกใหม่ที่จะช่วยคลี่คลายวิกฤตทางการเมืองที่เป็นอยู่ ในทางตรงกันข้าม กลับสร้างความโกรธแค้นชิงชังในทางการเมืองให้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น และยิ่งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ดังนั้น นอกจากประเด็นข้อกฎหมายที่ได้ให้ความเห็นมาแล้วข้างต้นทั้งหมด ข้าพเจ้าใคร่ขอกราบเรียนต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยความเคารพที่จะได้กรุณาใช้มโนธรรมและความรัก ความห่วงใยในประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยรวม ในการวินิฉัยชี้ขาดคดีนี้ด้วยเช่นกัน
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #คดียุบพรรคก้าวไกล