
Teerayuth Makchumpol
20 hours ago
·
ทำไมจึงมีกระบวนการ “ทำลายทักษิณ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และเหตุใดสังคมไทยจำนวนหนึ่งจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะ “วัง”
ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยหมุนวนอยู่กับความขัดแย้งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองที่ก่อตั้งจากเขา จึงถูกจัดการอย่างไม่รู้จบ แม้พรรคจะไม่แตะมาตรา 112 ไม่ท้าทายสถาบัน และขายแต่นโยบายเศรษฐกิจ
ปมขัดแย้งระหว่างทักษิณกับฝ่ายตรงข้ามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้เห็น “โครงสร้างรัฐไทย” ว่าใครเป็นผู้ควบคุมอำนาจนำ และอำนาจนำรูปแบบใดที่อนุญาตให้เติบโตได้ในระบอบนี้
น่าเสียดายที่การอภิปรายเรื่องนี้มักถูกลดทอนให้เหลือแค่ว่า
“เส้นทางการเมืองของทักษิณมีความพยายามทำดีล และดีลส่วนใหญ่มักจะถูกตลบหลัง
จนเป็นที่มาของคำว่า
ไม่รู้จักเข็ด”
ซึ่งการให้ความเห็นแบบชาวบ้านลักษณะนั้นก็สามารถทำได้ แต่หลายครั้งที่มีนักวิเคราะห์-นักวิชาการที่ควรมีความรับผิดชอบสูงต่อวิชาชีพ ก็กลับสร้างข้อสรุปขึ้นมาอย่างขาดความรับผิดชอบ
การพูดถึงสถาบันและบทบาททางการเมืองของสถาบันในประเทศนี้อย่างตรงไปตรงมาอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางกฏหมาย ดังนั้นบางฝ่ายจึงอาศัยความคลุมเครือของข้อเท็จจริงมาผูกโยงสถาบันเข้ากับปัญหาของทักษิณเพื่อประโยชน์ทางอุดมการณ์บางอย่าง
บทสนทนาที่ constructive ควรนำไปสู่คำถามและคำตอบว่า “การทำงานทางการเมืองของทักษิณไปกระทบโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมของประเทศในมิติใดในระบอบเดิม และเหตุใดความกระทบนั้นจึงเพียงพอให้ทักษิณถูกมองเป็นภัยคุกคาม?“
1. ทักษิณสร้างพรรคการเมืองของตนเอง พร้อมกับสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ชุดใหม่ที่ไม่ได้อิงกับกลุ่มอำนาจเดิม เครือข่ายนี้ประกอบด้วย ส.ส.ในพื้นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการ ตำรวจ และที่สำคัญคือเครือข่ายทุนขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเอง ไม่ต้องพึ่งพานายทุนเก่า ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่บนฐานของทหาร ราชสำนัก ข้าราชการประจำ และกลุ่มทุนเดิม
นี่คือการสร้าง “อำนาจซ้อนรัฐ” ในมุมมองของชนชั้นนำเดิม
ไม่ใช่ในความหมายว่าทักษิณคิดล้มล้างรัฐ
แต่เขากำลังสร้าง อำนาจของตัวเองในเชิงอุปถัมภ์
ใหญ่พอจะต่อรองกับศูนย์อำนาจเดิมได้แบบเสมอตัว
ระเบียบอำนาจแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นในไทยมาก่อน
และเป็นสิ่งรัฐพันลึกรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
2. นโยบายเศรษฐกิจของทักษิณคือการ “ช่วงชิงอำนาจนำ” จากชนชั้นนำเดิม
แม้ทักษิณจะทำการเมืองผ่านนโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่แก่นของการเมืองคือ การต่อสู้เพื่อความชอบธรรมทางอำนาจ เสมอ
รัฐพันลึกต้องการผูกขาด “อำนาจนำเชิงศีลธรรม” ผ่านกรอบคิดแบบพ่อปกครองลูก เศรษฐกิจพอเพียง และค่านิยมเรื่องความดีความชอบของชนชั้นนำ ทว่า ทักษิณกลับนำเสนอโมเดลที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ผ่านนโยบายอย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน สินเชื่อ SMEs และ OTOP—ทั้งหมดนี้คือการ “ส่งทรัพยากรลงล่าง” อย่างเป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ผลลัพธ์คือ “ประชาชนส่วนใหญ่” เริ่มตระหนักว่า
รัฐบาลจากการเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้จริง
นี่คือการท้าทาย “ความชอบธรรมเชิงคุณธรรม” ของระบอบเดิมอย่างรุนแรง และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทักษิณถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ต้องถูกจัดการ
3. ทักษิณทำให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งเติบโตจน “ใหญ่กว่า” อำนาจที่อยู่เหนือการเลือกตั้งแบบดั้งเดิม
หลังชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2548 ภาพพรรคการเมืองที่เคยทำหน้าที่เพียง “บริหารงานรูทีน” ก็แทบหายไปสิ้น เสียงของประชาชนผ่านระบบเลือกตั้งถูกยกระดับให้กลายเป็นพลังที่กำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสมดุลอำนาจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโครงสร้างการเมืองไทย
รัฐพันลึกต้องการประชาชนแบบ “ผู้รับคำสั่ง”
แต่นโยบายของทักษิณทำให้ประชาชนกลายเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับรัฐ”
ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงเกิดสำนึกทางการเมืองใหม่ว่าเสียงของตนมีค่า รัฐสวัสดิการเป็นสิทธิ และนักการเมืองตอบสนองต่อปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านได้จริง
สำนึกของการเป็น “พลเมืองใหม่” จึงเป็นภัยต่อระบอบอำนาจนำแบบจารีต
สรุปให้ชัด
ทักษิณเป็นภัยคุกคาม
ไม่ใช่เพราะแตะสถาบัน
แต่เพราะเขาแตะ “โครงสร้างอำนาจที่ค้ำจุนสถาบัน”
เขาเปลี่ยน 3 เรื่องใหญ่พร้อมกัน ก็คือ
1. สร้างเครือข่ายอำนาจใหม่ แข่งกับระบอบเดิม
2. ขยายอำนาจเลือกตั้งจนไปทับซ้อนอำนาจนอกระบบ
3. แย่งความชอบธรรมเชิงศีลธรรมด้วยนโยบายรัฐสวัสดิการ ทำให้ประชาชนหันไปยึดโยงกับ “รัฐบาลที่เลือกตั้ง” มากกว่า “ผู้นำตามจารีต”
เมื่อรวมกันทั้งหมด รัฐพันลึกจึงมองว่า
ถ้าปล่อยทักษิณไว้ ระบอบเดิมจะเสื่อมอำนาจลงเรื่อย ๆ
แล้วทำไมคนจำนวนมากตีความว่าเป็นเพราะ “วัง”?
นั่นเพราะโครงสร้างอำนาจไทยเป็นแบบ “network monarchy”
ราชสำนัก–ทหาร–ศาล–ข้าราชการ–ทุนเก่าเชื่อมกันเป็นโครงสร้างเดียวและใช้พระราชอำนาจเป็นศูนย์กลางความชอบธรรม
จึงถูกตีความว่า “ถ้าท้าทายเครือข่าย = ท้าทายวัง”
และยิ่งถ้าพื้นที่ที่ทักษิณไปแตะ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของเครือข่ายราชสำนัก เช่นข้าราชการ ตำรวจ ผู้ว่าฯ ก็ยิ่งทำให้คนตีความว่าทักษิณกำลังแย่งอำนาจวัง
นอกจากนั้นชนชั้นนำไทยมักใช้ “สถาบัน” เป็นเครื่องมือในการต่อสู้หรือแข่งขันกันเอง การพิสูจน์ความความจงรักภักดีและความใกล้ชิดสถาบันกลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
และเนื่องจากรัฐธรรมนูญบวกกับวัฒนธรรมการเมืองไทยทำให้ประชาชนไม่สามารถพูดถึง palace circle แบบแยกส่วนได้ จึงเกิดปรากฏการณ์อะไร ๆ ก็ “วัง” ไว้ก่อน
เพราะมันเป็นคำที่อธิบายศูนย์อำนาจรวมได้ง่ายที่สุด ทั้งที่จริง ๆ โครงสร้างอำนาจของรัฐไทยเป็นแบบ “หลายขั้วเชื่อมกันผ่านสถาบัน”
ดังนั้นถ้าพูดให้ชัดเจน ต้องบอกว่า
ปัญหานี้ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนบุคคล
ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องความขัดแย้งของทักษิณ
แต่เป็นความขัดแย้งเรื่อง “อำนาจของรัฐและประชาชน” ที่ฝ่ายหนึ่งเติบโตได้ อีกฝ่ายเติบโตไม่ได้ ในโครงสร้างเดียวกัน
เพียงแต่ทักษิณเป็น symbolic ของฝ่ายประชาชนที่เสนอหน้าขึ้นมาท้าทายระบบเท่านั้นเอง
https://www.facebook.com/R5RHAA/posts/2575207556166495
Teerayuth Makchumpol
13 hours ago
·
(เนื่องจากโพสก่อนหน้ามีคนแชร์ไปถกเถียงในหลายประเด็นที่หลุดไปจากกรอบที่ผู้เขียนตั้งใจอธิบาย จึงขอขยายความบางส่วนให้ชัดเจนมากขึ้น)
1.) หลายคนเข้าใจว่า ทักษิณปะทะชนชั้นนำ
แต่ในความเป็นจริงเขาทำสิ่งที่อันตรายกว่า นั่นก็คือ การทำให้ชนชั้นนำเดิมไม่สามารถรักษาฉันทามติร่วมกันได้เหมือนในอดีต
ซึ่งในโครงสร้างอำนาจไทย ฉันทามติระหว่างกลุ่มอำนาจคือเงื่อนไขสำคัญที่สุดของเสถียรภาพระบอบ
ทักษิณ disrupt โครงสร้างระบบอุปถัมป์ของกองทัพ ข้าราชการ และทุน
ตั้งคนใกล้ชิดเป็น ผบ.ตร. / ใช้ตำรวจถ่วงกองทัพ
แต่งตั้งนายทหารสายที่ไม่ใช่เครือข่ายเดิมไปคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ บางกลุ่มได้ประโยชน์จากทักษิณ บางกลุ่มเสียประโยชน์
2.) คนส่วนใหญ่มองว่าทุนเก่าและเทคโนแครตเกลียดทักษิณเพราะนโยบายประชานิยม
แต่จริง ๆ แล้วชนวนหลักที่กระทบกับกลุ่มนี้คือ นโยบายลดการผูกขาดธุรกิจบางประเภท เช่นการควบรวมกิจการโทรคมนาคม, การควบคุม regulators, การปฏิรูประบบราชการ, การทำให้การขออนุญาตทำธุรกิจง่ายขึ้น นโยบายเหล่านี้ทำให้พวกเขารักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ไม่ได้
กลุ่มทุนเก่ามองว่าทักษิณคือ ภัย-เชิงโครงสร้าง
ในขณะที่เทคโนแครตมองว่าทักษิณแทรกแซงกฏระเบียบของสถาบันทางเศรษฐกิจ ที่เดิมต้องอาศัยความเห็นคนกลุ่มนี้เป็นผู้ชี้นำ
3.) Palace circle elites ไม่พอใจกับการสร้างความชอบธรรมใหม่ของทักษิณ
ในยุคของรัฐบาลไทยรักไทย ทักษิณได้รับความชอบธรรมจากผลงาน (performance legitimacy) และความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง (electoral legitimacy)
สิ่งนี้ไปทับกับฐานความชอบธรรมของ palace circle ที่อิงกับมโนทัศน์เรื่องคุณธรรม จารีต และเครือข่ายผู้จงรักภักดี
ซึ่งในเชิงสัญลักษณ์ ชนชั้นนำมองว่า
“ทักษิณกำลังสร้างอำนาจคู่ขนาน“
แต่ทักษิณไม่ได้เป็นแค่นักการเมืองที่ชนชั้นนำไม่ชอบเท่านั้น
ทักษิณยังทำตัวเป็น ตัวเร่งปฏิกิริยา ให้กลุ่มอำนาจเดิมไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะจัดการกับดุลอำนาจอย่างไร (ต้องปรับตัวหรือต้องหยุดเขาไว้ก่อน?)
4.) ชนชั้นนำไทย ไม่ได้มีกลุ่มเดียว ไม่ได้เป็นเอกภาพเป็นเนื้อเดียวกัน มีทั้งเห็นตรงกันและขัดแย้งกัน แต่ในอดีตสามารถประสานกันอย่างหลวม ๆ ผ่าน regulator
ดังนั้น unpopular opinion ที่สอดคล้องกับแพทเทิร์นการเมืองในอดีต คือ การรัฐประหาร นอกจากเป้าหมายในการหยุดทักษิณแล้ว ยังมีเป้าหมายในการ recentralization of elite coalition หรือการสร้างเอกภาพในกลุ่มชนชั้นนำอีกด้วย เพียงแต่มันเป็นเอกภาพโดยการบังคับ มากกว่า เอกภาพโดยฉันทามติ จึงอยู่ได้ไม่นาน
ปรากฏการณ์ที่พันธมิตรซึ่งเคยจับมือในช่วงรัฐประหาร มีจุดมุ่งหมายร่วมชั่วคราว แต่เมื่อผ่านจุดวิกฤต รูปแบบของผลประโยชน์เปลี่ยนไป (เช่น ใครได้สัมปทาน ใครควบคุมทรัพยากรใหม่) การจับมือจึงหลวมลง เมื่อกลับสู่รัฐบาลจากการเลือกตั้ง เงื่อนไขบังคับหายไปหรือมีแรงกดดันใหม่ เอกภาพที่เคยมีนั้นก็ถูกทำให้สั่นคลอน
และต้องมีเครื่องมือ “รวบตึง” เอกภาพนั้นอีกครั้ง
ตราบใดที่ elite consensus ยังไม่กลับมา การเมืองก็จะวุ่นวายพลิกไปพลิกมาตลอด
เกิดผู้เล่นใหม่ → disrupt balance เดิม → ชนชั้นนำใช้เครื่องมือพิเศษรวบเอกภาพ → เอกภาพชั่วคราว → แตกใหม่ วนไป
https://www.facebook.com/R5RHAA/posts/2575451636142087