“ระบอบการปกครองแบบอยุธยา ที่ตกทอดมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นระบอบที่บาปกรรมทำความเสื่อมโทรมให้แก่ชาติและนิสัยใจคอของพลเมืองไทย”
วาทะของ หลวงวิจิตรวาทการ (11 สิงหาคม 2441 – 31 มีนาคม 2505) จาก คำสอนเรื่อง ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของไทย บทที่ 2 เรื่องแรงงาน โดยระบอบที่หลวงวิจิตรวาทการกล่าวถึงนี้คือ ระบอบ ไพร่ ทาส และศักดินา โดยเฉพาะการเกณฑ์แรงงานในสมัยอดีต ซึ่งแรงงานนับเป็นปัจจัยสำคัญในทางเศรษฐกิจ
ทัศนะหลวงวิจิตรวาทการต่อไพร่-ทาส-ศักดินา
หลวงวิจิตรวาทการ แบ่งแรงงานออกเป็น 2 ประเภท คือ ไพร่ และทาส ในประเด็น “ทาส” นี้ มีสิ่งที่หลวงวิจิตรวาทการวิเคราะห์ วิพากษ์ และวิจารณ์ ไว้อย่างน่าสนใจหลายประการ โดยเริ่มกล่าวอธิบายถึงต้นกำเนิดของทาสว่ารับมาจากเขมร หรืออีกนัยหนึ่งคือ การกำเนิดขึ้นของระบอบเทวราชา หลวงวิจิตรวาทการอธิบายว่า
“วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยเราอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่เราควรภาคภูมิใจ คือ ไทยเราแต่เดิมมาไม่มีทาส ในสมัยสุโขทัยเราไม่มีทาส สมัยสุโขทัยมีไพร่ มีข้า แต่จารึกสุโขทัยทุกแห่งเขียนว่า ‘ไพร่ฟ้า’ หรือ ‘ข้าไทย’ พลเมืองสมัยสุโขทัยมีสิทธิเป็นไพร่ของฟ้า ซึ่งอาจจะหมายความสวรรค์หรือองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง ส่วนคำว่า ‘ข้า’ หมายถึงคนรับใช้ ซึ่งถึงแม้เป็นคนรับใช้ ก็ยังมีฐานะเป็นไทย ไม่ใช่ทาส เมื่อทางกรุงศรีอยุธยามีทาส พวก ‘ข้า’ คือคนรับใช้ ในสมัยอยุธยาก็แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ ‘ข้าไทย’ และ ‘ข้าทาส’ ข้าไทย หมายถึงคนรับใช้ที่มิใช่เป็นทาส เรียกตามแบบที่เรียกในสมัยสุโขทัย ส่วนข้าทาส คือทาสจริง ๆ …
เรื่องทาสไม่ใช่เรื่องของไทย แต่เป็นเรื่องที่เราเอาอย่างมาจากขอม พร้อมกับที่เราเอาแบบอย่างเรื่องพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทวราชเข้ามาใช้ในสมัยอยุธยา ได้กล่าวมาแล้วว่าระบอบการปกครองของไทยเราแต่โบราณกาลดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยสุโขทัยนั้นเป็นระบอบที่พ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์กับพลเมืองใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก มาถึงสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์กับพลเมืองอยู่ห่างกันคนละโลก เมื่อพระมหากษัตริย์สูงขึ้น พลเมืองก็ต่ำลง เมื่อพระมหากษัตริย์กลายเป็นเทพเจ้า พลเมืองก็กลายเป็นสัตว์ ลัทธิที่ถือว่ารัฐเป็นครอบครัวอันหนึ่งก็หมดไป
หลวงวิจิตรวาทการ แบ่งทาสออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่
1. ทาสสินไถ่ คือทาสที่ขายตัวเองลงเป็นทาส หรือถูกนำมาขายเป็นทาส (พ่อแม่นำลูกมาขายลงเป็นทาส)
2. ทาสในเรือนเบี้ย คือเด็กที่เป็นทาสโดยกำเนิด
3. ทาสที่ได้ด้วยการรับมรดก คือถือว่าทาสเป็นทรัพย์ ทาสจึงเป็นสิ่งที่รับมรดกกันได้
4. ทาสที่มีผู้ให้ คือมีลักษณะเดียวกันกับทาสที่ได้ด้วยการรับมรดก
5. ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ คือทาสที่มีผู้ไถ่โทษหรือไถ่ค่าปรับให้ เช่น ผู้ต้องโทษไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็จะมีผู้เอาเงินมาใช้ให้ แล้วผู้ต้องโทษต้องไปเป็นทาสแทน
5. ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ คือทาสที่มีผู้ไถ่โทษหรือไถ่ค่าปรับให้ เช่น ผู้ต้องโทษไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็จะมีผู้เอาเงินมาใช้ให้ แล้วผู้ต้องโทษต้องไปเป็นทาสแทน
6. ทาสที่ช่วยจากทุพภิกขภัย คือมีลักษณะเดียวกันกับทาสสินไถ่ แต่สาเหตุที่ขายตัวเองลงเป็นทาสเนื่องจากปัญหาทุพภิกขภัย คือไม่มีข้าวกิน และ
7. ทาสเชลย คือทาสที่กวาดต้อนจากการทำสงคราม
หลวงวิจิตรวาทการ เรียกการปกครองนี้ว่า “การปกครองแบบเทวดาปกครองสัตว์” และได้อธิบายซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลลัพท์ของระบอบไพร่ทาสและศักดินาที่มีต่อสังคมไว้ความว่า
“ระบอบที่เอาคนชาติเดียวกันลงเป็นทาส ซึ่งเป็นระบอบอยุธยาและใช้ต่อมาจนถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รวมเวลากว่า 500 ปีนั้น ไม่แต่จะทำความทุกข์ยากให้แก่ประชาชนพลเมืองตลอดมาเท่านั้น ยังทำให้ลักษณะนิสัยของพลเมืองเสื่อมโทรมลงไปเป็นอันมาก ลักษณะพึ่งตัวเอง อย่างที่พระมหากษัตริย์วงศ์พระร่วงผู้ครองกรุงสุโขทัยได้ทรงจารึกไว้ในศิลา เป็นคำสั่งสอนประชาชนนั้นได้หมดไป ลักษณะพากเพียรพยายามก่อร่างสร้างตน อันเป็นลักษณะสำคัญของไทยในสมัยกรุงสุโขทัย อย่างที่พ่อขุนรามคำแหงทรงเขียนไว้ว่า ‘ด้วยรู้ ด้วยหลวก ด้วยแกล้ว ด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง’ นั้นได้หมดไปด้วย
ระบอบที่เอาคนลงเป็นทาส หรือทำงานเข้าเดือน ให้ผลประโยชน์แก่นายนี้ ได้สร้างนิสัยเกียจคร้านอ่อนแอให้แก่ชาวไทย เพราะทาสและไพร่เคยต้องทำงานโดยถูกบังคับทำแล้วก็ไม่เป็นผลอะไรแก่ตัว ผลที่ได้จากแรงงานอันเหนื่อยยากของตัวต้องตกเป็นของนายทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะอุตสาหะทำไปทำไม หลบได้เป็นหลบ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง การทำงานเป็นของน่าอายน่าขายหน้า เพราะแสดงว่าเป็นไพร่เป็นทาสจึงต้องทำงาน
การนอนกินหรือมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำอะไรถือว่ามีเกียรติ การอวดได้ว่า ‘ไม่ทำอะไรฉันก็มีกิน’ เป็นการแสดงเกียรติศักดิ์อย่างสูง คนที่จะเอาตัวรอดก็คือประจบให้นายรัก ย่อมผ่อนหนักเป็นเบา และบางทีก็เลื่อนฐานะสูงขึ้นไป ลัทธิแสวงหาที่พึ่งได้เกิดขึ้นและฝังแน่นอยู่ในนิสัยของพวกเรา ใครที่ผดุงฐานะของตัวขึ้นได้ก็เชื่อกันว่าเพราะมีที่พึ่งดี ไม่ใช่เพราะการก่อร่างสร้างตนเอง ลักษณะอ่อนแอเช่นว่านี้เป็นผลเนื่องมาจากระบอบที่เอาคนชาติเดียวกันเป็นไพร่เป็นทาสมาตลอดเวลา 500 ปี
ชาติไทยเราไม่ถนัดในการค้าและอุตสาหกรรม ก็เพราะเราต้องเป็นทาสเป็นไพร่ ทำงานให้นายมาตลอด 5 ศตวรรษ และงานที่ทำนั้นก็เป็นแต่งานขุดดินฟันหญ้า ทำไร่ ทำนา แล้วผลประโยชน์ทั้งหมดก็ตกอยู่แก่นาย ระบอบการปกครองแบบอยุธยา ที่ตกทอดมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นระบอบที่บาปกรรมทำความเสื่อมโทรมให้แก่ชาติและนิสัยใจคอของพลเมืองไทย ซึ่งจะต้องการเวลาอีกช้านานกว่าจะสร้างลักษณะอย่างพลเมืองในระบอบสุโขทัยให้กลับมีขึ้นได้ใหม่…”
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า หลวงวิจิตรวาทการ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ระบอบไพร่ทาสและศักดินาโดยมุ่งไปที่เรื่องของการเกณฑ์แรงงานและระบอบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลตามมา ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เกิดระบอบอุปถัมภ์ และการที่แรงงานถูกบังคับเกณฑ์ จึงไม่มีแรงจูงใจในการผลิต ก็นับว่าค่อนข้างเป็นการสูญเปล่า เพราะ “ไม่รู้ว่าจะอุตสาหะทำไปทำไม“
อย่างไรก็ตาม หลวงวิจิตรวาทการ ก็ได้ยกย่องการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นการ “พลิกแผ่นดิน” ซึ่งเป็นการขจัดระบอบที่ล้าหลังเหล่านั้น ดังที่กล่าวสรุปไว้ในตอนท้ายว่า
“การเลิกเรื่องไพร่เรื่องทาสเป็นการแก้ปัญหาแรงงาน ซึ่งเป็นโรคร้ายของไทยเรามาตลอดเวลา 5 ศตวรรษ ชนชาติไทยได้กลับเป็นเสรีชน ชีวิตเศรษฐกิจของชาวไทยได้ตั้งต้นในทางรุ่งเรืองแจ่มใส ตั้งแต่รัชกาลของ ‘สมเด็จพระปิยมหาราช’ เป็นต้นมา”
ที่มา
https://www.silpa-mag.com/quotes-in-history/article_63472
เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2567
หลวงวิจิตรวาทการ เรียกการปกครองนี้ว่า “การปกครองแบบเทวดาปกครองสัตว์” และได้อธิบายซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลลัพท์ของระบอบไพร่ทาสและศักดินาที่มีต่อสังคมไว้ความว่า
“ระบอบที่เอาคนชาติเดียวกันลงเป็นทาส ซึ่งเป็นระบอบอยุธยาและใช้ต่อมาจนถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รวมเวลากว่า 500 ปีนั้น ไม่แต่จะทำความทุกข์ยากให้แก่ประชาชนพลเมืองตลอดมาเท่านั้น ยังทำให้ลักษณะนิสัยของพลเมืองเสื่อมโทรมลงไปเป็นอันมาก ลักษณะพึ่งตัวเอง อย่างที่พระมหากษัตริย์วงศ์พระร่วงผู้ครองกรุงสุโขทัยได้ทรงจารึกไว้ในศิลา เป็นคำสั่งสอนประชาชนนั้นได้หมดไป ลักษณะพากเพียรพยายามก่อร่างสร้างตน อันเป็นลักษณะสำคัญของไทยในสมัยกรุงสุโขทัย อย่างที่พ่อขุนรามคำแหงทรงเขียนไว้ว่า ‘ด้วยรู้ ด้วยหลวก ด้วยแกล้ว ด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง’ นั้นได้หมดไปด้วย
ระบอบที่เอาคนลงเป็นทาส หรือทำงานเข้าเดือน ให้ผลประโยชน์แก่นายนี้ ได้สร้างนิสัยเกียจคร้านอ่อนแอให้แก่ชาวไทย เพราะทาสและไพร่เคยต้องทำงานโดยถูกบังคับทำแล้วก็ไม่เป็นผลอะไรแก่ตัว ผลที่ได้จากแรงงานอันเหนื่อยยากของตัวต้องตกเป็นของนายทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะอุตสาหะทำไปทำไม หลบได้เป็นหลบ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง การทำงานเป็นของน่าอายน่าขายหน้า เพราะแสดงว่าเป็นไพร่เป็นทาสจึงต้องทำงาน
การนอนกินหรือมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำอะไรถือว่ามีเกียรติ การอวดได้ว่า ‘ไม่ทำอะไรฉันก็มีกิน’ เป็นการแสดงเกียรติศักดิ์อย่างสูง คนที่จะเอาตัวรอดก็คือประจบให้นายรัก ย่อมผ่อนหนักเป็นเบา และบางทีก็เลื่อนฐานะสูงขึ้นไป ลัทธิแสวงหาที่พึ่งได้เกิดขึ้นและฝังแน่นอยู่ในนิสัยของพวกเรา ใครที่ผดุงฐานะของตัวขึ้นได้ก็เชื่อกันว่าเพราะมีที่พึ่งดี ไม่ใช่เพราะการก่อร่างสร้างตนเอง ลักษณะอ่อนแอเช่นว่านี้เป็นผลเนื่องมาจากระบอบที่เอาคนชาติเดียวกันเป็นไพร่เป็นทาสมาตลอดเวลา 500 ปี
ชาติไทยเราไม่ถนัดในการค้าและอุตสาหกรรม ก็เพราะเราต้องเป็นทาสเป็นไพร่ ทำงานให้นายมาตลอด 5 ศตวรรษ และงานที่ทำนั้นก็เป็นแต่งานขุดดินฟันหญ้า ทำไร่ ทำนา แล้วผลประโยชน์ทั้งหมดก็ตกอยู่แก่นาย ระบอบการปกครองแบบอยุธยา ที่ตกทอดมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นระบอบที่บาปกรรมทำความเสื่อมโทรมให้แก่ชาติและนิสัยใจคอของพลเมืองไทย ซึ่งจะต้องการเวลาอีกช้านานกว่าจะสร้างลักษณะอย่างพลเมืองในระบอบสุโขทัยให้กลับมีขึ้นได้ใหม่…”
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า หลวงวิจิตรวาทการ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ระบอบไพร่ทาสและศักดินาโดยมุ่งไปที่เรื่องของการเกณฑ์แรงงานและระบอบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลตามมา ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เกิดระบอบอุปถัมภ์ และการที่แรงงานถูกบังคับเกณฑ์ จึงไม่มีแรงจูงใจในการผลิต ก็นับว่าค่อนข้างเป็นการสูญเปล่า เพราะ “ไม่รู้ว่าจะอุตสาหะทำไปทำไม“
อย่างไรก็ตาม หลวงวิจิตรวาทการ ก็ได้ยกย่องการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นการ “พลิกแผ่นดิน” ซึ่งเป็นการขจัดระบอบที่ล้าหลังเหล่านั้น ดังที่กล่าวสรุปไว้ในตอนท้ายว่า
“การเลิกเรื่องไพร่เรื่องทาสเป็นการแก้ปัญหาแรงงาน ซึ่งเป็นโรคร้ายของไทยเรามาตลอดเวลา 5 ศตวรรษ ชนชาติไทยได้กลับเป็นเสรีชน ชีวิตเศรษฐกิจของชาวไทยได้ตั้งต้นในทางรุ่งเรืองแจ่มใส ตั้งแต่รัชกาลของ ‘สมเด็จพระปิยมหาราช’ เป็นต้นมา”
ที่มา
https://www.silpa-mag.com/quotes-in-history/article_63472
เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2567