ประชาไท Prachatai.com
11h
·
พ่อของ 'เก็ท โสภณ' ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลฎีกา-นายกฯ ชี้คำพิพากษาขัดกับตัวบทกฎหมาย
ภาพโดย แมวส้ม
13 พ.ย.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 พ.ย.) ทพ. เทพดรุณ สุรฤทธิ์ธำรง บิดาของเก็ท โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง และมวลชนอิสระ เดินทางยื่นหนังสือร้องเรียนกรณี 'คำพิพากษาขัดกับตัวบทกฎหมาย' ในคดีของโสภณ
โดยเวลา 9.30 น. เดินทางเข้ายื่นที่หน้าศาลฎีกา โดยมีผู้แทนประธานศาลฎีกาออกมารับหนังสือและเวลา 13.30น. เดินทางยื่นที่หน้าสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้แทนนายกรัฐมนตรี ออกมารับหนังสือเช่นกัน
ทั้งนี้เนื้อความในหนังสือที่กลุ่มดังกล่าวยื่นนั้น ระบุว่า
เรื่อง ร้องเรียนกรณีคำพิพากษาขัดกับตัวบทกฎหมาย
สืบเนื่องจากคดีแดงที่ อ.2410/2566 คดีดำที่ อ.1447/2565 ที่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ณ ศาลอาญา รัชดาภิเษก คดีระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ และนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง จำเลย ศาลได้ทำการตัดสินดังนี้ "พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 12 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4, 9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี จำคุก 3 ปี ฐานใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน"
ข้าพเจ้าพร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิดังมีรายชื่อข้างท้าย ขอร้องเรียนกรณีที่คำพิพากษาข้างต้นอาจจะขัดกับตัวบทกฎหมายดังนี้
1. ใน พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493มาตรา 4 กำหนดว่า ผู้ที่จะใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าต้องได้รับอนุญาต และมาตรา กำหนดว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 4 มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองร้อยบาท
ดังนั้น ในคำพิพากษาคดีแดงที่ . 2410/2566 กำหนดบทลงโทษฐานใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน นั้น จึงเป็นการตัดสินลงโทษโดยปราศจากบทบัญญัติกฎหมายใด ๆ รองรับ ทั้งยังขัดกับบทบัญญัติในตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ในเรื่องนี้
2. ข้าพเจ้าพร้อมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้รักความเป็นธรรมเห็นว่าประโยคคำพูดของนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรงตามคำฟ้องในคดีนี้ เป็นประโยคที่จำเลยได้ใช้เพียงสรรพนามบุรุษที่สอง เป็นประธานของประโยคซึ่งตามหลักไวยากรณ์หมายถึงผู้ฟังซึ่งหน้าในขณะนั้นโดยตรง ได้แก่ตำรวจที่กำลังฟังอยู่ มิใช่บุคคลอื่นใดทั้งสิ้น
การกระทำจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดในมาตรา 112 (แม้มีการเอ่ยพระนามก็เป็นเพียงการกล่าวถึงขบวนเสด็จ และคำพูดที่ต่อว่าตำรวจนี้ก็เป็นการยกเอาการทำบุญมากล่าวเสียดสีตำรวจว่า ต่อให้ตำรวจจะไปทำบุญสักกี่วัดก็ตาม การสั่งสมบุญบารมีของตำรวจเหล่านี้ก็จะไม่เพิ่มขึ้นได้เลยตราบใดที่ยังข่มหงรังแกประชาชนอยู่อย่างนี้ ซึ่งพูดโดยใช้สรรพนาม แทนตำรวจตรงๆ)
ข้าพเจ้าพร้อมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้รักความเป็นธรรมขอร้องเรียนเรื่องคำพิพากษาที่ขัดกับตัวบทกฎหมายอย่างชัดเจนในข้อ 1. ซึ่งสร้างความเสียหายแก่วงการยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง และในข้อ 2. ที่ตีความสรรพนามเป็น อื่นไปนั้น ขอร้องเรียนให้มีการตรวจสอบว่าการตัดสินดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้หากเป็นความผิดพลาดก็ควรที่จะต้องมีการชี้แจงและแก้ไขความผิดพลาดนี้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิพื้นฐานของประชาชนอย่างรุนแรง อีกทั้งเพื่อเป็นการธำรงความเป็นธรรมในสังคมที่ประชาชนควรจะต้องได้รับจากศาลยุติธรรม
ขอแสดงความนับถือ
ทพ. เทพดรุณ สุรฤทธิ์ธำรง บิดาผู้เสียหาย, รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, เบญจรัตน์ สัจกุล อาจารย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
สำหรับ โสภณ นั้น เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรม #ทวร์มูล่าผัว ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 โดยที่ปัจจุบันเก็ทถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาดังกล่าวนั้น