.....
Matichon Online @MatichonOnline
กระแสฟีเวอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้จริงหรือไม่ ?
Matichon Online @MatichonOnline
กระแสฟีเวอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้จริงหรือไม่ ?
นายพิชาย ตอบว่า แปรได้ อ้างอิงจากปี 2562 กระแสของธนาธรฟีเวอร์ก็ยังไม่มากเท่าพิธาในขณะนี้ ตอนนั้นดูจากกูเกิ้ลเทรนด์ที่พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนนิยเป็นจำนวนมาก แม้จะมีปัจจัยจากยุบพรรคไทยรักษาชาติ แต่ก็เป็นส่วนน้อย จาก 6 ล้าน คิดว่า 4 ล้าน มาจากกระแสในโลกออนไลน์นำไปสู่กระแสจริง คราวนี้ก็เช่นนั้น https://matichon.co.th/politics/news_3957650…
.....
อาจารย์ มองผลนิด้าโพลรอบ 3 พิธาอาจได้ ส.ส.ทะลุ 100 ชี้ซีเนริโอใหม่ ก้าวไกลได้ตั้ง รบ.?
3 พฤษภาคม 2566
มติชนออนไลน์
อาจารย์นิด้า มองผลโพลรอบ 3 พิธาอาจได้ ส.ส.ทะลุ 100 ชี้ซีเนริโอที่ 4 ก้าวไกลได้จัดตั้ง รบ.?
เมื่อวันที่ 3 พฤษาคม รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) วิเคราห์ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand แสดงความเห็นถึงคะแนนนิยมจากผลโพลต่างๆ ว่าขณะนี้คะแนนนิยมมีการเปลี่ยนแปลงจริง โดยสัญญาณค่อนข้างชัด ตั้งแต่ต้นเมษายนที่ผ่านมา ทั้งจากข้อมูลของนิด้าโพล กับปรากฏการณ์ในสังคมต่างๆ
เริ่มจากข้อมูลจากนิด้าโพลตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ก่อนที่จะมีการยุบสภา คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยู่ที่ 38% นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 15% เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ที่ 15% แต่พอหลังยุบสภา และหลังจากรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ก็มีเก็บข้อมูลอีกครั้ง ในช่วงต้นเดือนเมษายน พบว่า คะแนนนิยม น.ส.แพทองธาร ลดลงประมาณ 2% ขณะที่คะแนนนิยมพิธาเพิ่มขึ้น 3% กว่าๆ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ลดลงไปหน่อยหนึ่ง ในแง่ของผู้นำทางการเมือง น.ส.แพทองธาร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ทิศทางลดลง ขณะที่นายพิธา ทิศทางเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับคะแนนนิยมของพรรค ในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็มีทิศทางเดียวกัน โดยพรรคเพื่อไทยลดลง พรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น ขณะที่รวมไทยสร้างชาติก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นมา จะเป็นผลโพลหลายๆ ที่ที่พอน่าเชื่อถือได้ ก็จะไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจนำไปสู่การประมาณการ ส.ส.ได้ในอนาคต ซึ่ง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า พิธาฟีเวอร์ขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยไม่มีผู้นำการเมืองร่วมสมัยคนไหนจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ซึ่งดูได้จากเวลาคุณพิธาไปไหน จะเกิดบรรยากาศคล้ายๆ กับผู้นำการเมืองที่ได้รับความนิยมมาก เหมือนกับเป็นดาราไปแล้ว”
เมื่อถามถึงผลการสำรวจนิด้าโพลใน 3 ครั้ง นายพิธาคะแนนขึ้นทั้ง 3 ครั้ง ทำให้โจทย์หลังการเลือกตั้งเปลี่ยนหรือไม่ นายพิชายกล่าวว่า ก้าวไกลยังไปต่อในทางบวก จะขยับขึ้นอีก ขณะที่เพื่อไทยลดลงนิดนึง
“ในช่วงแรกๆ ของการเลือกตั้ง ผมประเมินพรรคก้าวไกลไว้ที่ 40-50 เสียง แต่ตอนนี้ต้องประเมินที่ 80-90 เสียงแล้ว ถ้าหากไปถึงวันเลือกตั้งทิศทางและกระแสยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องประเมินกันโดยมีแนวโน้มที่จะทะลุ 100 เสียง ฉะนั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็จะเป็นพรรคอันดับ 2
“แต่ ณ วันนี้ผมยังมองว่ายังไม่ถึงเป้า 160 เสียง ที่ทางคุณพิธาเคยพูด เพราะถ้าได้จริง 160 เสียง พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคอันดับ 1 ทันที เพราะว่าในซีกฝ่ายค้านจากการประเมินตามที่นิด้าโพลประเมินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเพื่อไทยกับก้าวไกล ตั้งแต่เดือนกันยายน รวมกันจะได้ 48% พอเดือนธันวาคม รวมกันจะได้ 59% และเดือนมีนาคม ไปถึง 67% พอเดือนเมษายน ครั้งล่าสุด ไปถึง 69% เลยทีเดียว
“ถ้ารวมเอาพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ อย่างเสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย มันก็จะอยู่ 72% และเชื่อว่าซีกนี้คะแนนจะไม่ขยับลดลง แต่ขยับขึ้นก็ยากเช่นกันเต็มที่อาจจะอยู่ที่ 75%
“ฉะนั้น สมการถ้ามองจากความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนมากที่สุด แต่จะไม่ได้มากเท่าเหมือนกับที่ประเมินครั้งแรก 240 เสียง อาจจะลดลงเหลือ 200-210 เสียง ขณะที่ก้าวไกลอาจไปที่ 80-100 เสียง ดังนั้น 2 พรรคนี้คะแนนรวมกับ 300-320 เสียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประเมินจากตัวโพล ถ้าหากเป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย 2 พรรคนี้จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ได้อย่างแน่นอน” นายพิชายระบุ
แต่ นายพิชาย มองว่า การเมืองไทยมีความซับซ้อนกว่า กลไกตามระบอบประชาธิปไตยตรงไปตรงมา
ฉะนั้น ในทรรศนะของนายพิชาย จึงมี 4 ซีเนริโอความเป็นไปได้ในการจับขั้วรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ซีเนริโอที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จับมือกับพรรคก้าวไกล จะได้ประมาณ 300 เสียง แต่ยังไม่พอ 376 เสียงอยู่ดี แม้จะนำ 2-3 พรรค อย่างเสรีรวมไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย มารวมก็ยังไม่พอ เพราะจากการประเมิน จะได้เสียงไม่น่าเกิน 20 เสียง ดังนั้น เต็มที่ก็จะได้ประมาณ 340 เสียง ก็ยังขาดอีก แม้จะมีเสียง ส.ว.โหวตให้ ก็จะได้ไม่เกิน 20 คน
ดังนั้น จึงต้องขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทย จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย โอกาสจะเกิน 376 เสียงจบเลย แต่การบริหารจัดการรัฐบาลจะยาก เพราะพรรคร่วมเยอะ
ซีเนริโอที่สอง พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมองว่าจะได้ 30-40 เสียง ก็อาจจะยังไม่ถึงครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้น ก็ต้องไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถ้าดึงพรรคเหล่านี้มาร่วม ก็จะเกิน 250 เสียง และได้เสียง ส.ว.ในการโหวตนายกฯด้วย
แต่ว่าซีเนริโอนี้ต้องเผชิญหน้ากับคำถามของมวลชนพอสมควร และทางเพื่อไทยก็ได้ประกาศแล้วว่า จะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ถ้าจับภายหลังก็คงเห็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งในแง่ของการเมืองไทยก็มีความเป็นไปได้ แต่ผู้นำของมวลชนก็จะต้องไปอธิบาย
ซีเนริโอที่สาม จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย 4 พรรคนี้ ผมประเมินแล้วน่าจะได้ 150-180 เสียง ถ้า 4 พรรคนี้รวมกันเลือกนายกฯได้ เพราะมี 250 ส.ว. แต่จะได้รัฐบาลเสียงข้างน้อง และไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ไร้เสถียรภาพจนประชาชนขาดความชอบธรรม ประเทศจะเสียหายมาก และมีปัญหาตามมาอีกนาน
และ นายพิชาย ยังเสนอซีเนริโอที่ 4 นั่นคือ พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
“ขณะนี้มีความเป็นไปได้ถึงซีเนริโอที่ 4 ที่ผมไม่เคยมองมาก่อนนั่นคือ พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากดูตามกระแสแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ที่ไม่อาจตัดทิ้งไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 สัปดาห์ ถ้าพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาลจะง่ายเลย ก็จะจับมือกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2”
“คือถ้าก้าวไกลได้ 160 เสียงตามเป้า เพื่อไทยก็ได้ 140-150 เสียง การเมืองจะพลิกเลยและใช้พลังในการกดดันให้ ส.ว.มาโหวต รัฐบาลเสียงข้างมากในสภา” นายพิชายระบุ
นายพิชายกล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับขณะนี้พลังของนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่พอ แม้ น.ส.แพทองธารจะแรงกว่า แต่จะแรงสู้นายพิธาไม่ได้ เพราะทิ้งจังหวะจากเรื่องส่วนตัวไปคลอดลูก จึงไม่ได้พบปะกับมวลชน ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์เน้นการปราศรัย ซึ่งจะได้มวลชนเก่าที่เป็นฐาน
แต่นายพิธากับพรรคก้าวไกลใช้วิธีดีเบต ไปทุกสื่อ ฉะนั้น การกระจายการรับรู้ในโลกออนไลน์ และโลกจริงจะได้มากกว่า เราก็จะเห็นภาพบรรดาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลมีกระแสการรับรู้ในวงกว้าง และนอกจากตัวบุคคลที่ฟีเวอร์แล้ว พรรคก้าวไกลยังขายนโยบายจริงๆ ไม่ว่าใครไปพูดที่ไหนก็พูดเหมือนกัน เป็นภาษาเดียวกันอย่างเป็นระบบ จึงมีความชัดเจนมาก ทั้งจุดยืน อุดมการณ์กว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีแกนนำพูดอยู่ไม่กี่คน
เมื่อถามว่า กระแสฟีเวอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้จริงหรือไม่นั้น นายพิชายตอบว่า แปรได้ อ้างอิงได้จากปี 2562 กระแสของธนาธรฟีเวอร์ก็ยังไม่มากเท่าพิธาในขณะนี้ ตอนนั้นดูจากกูเกิลเทรนด์ที่พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนนิยมมาเป็นจำนวนมาก แม้จะมีปัจจัยจากยุบพรรคไทยรักษาชาติ แต่ก็เป็นส่วนน้อย จาก 6 ล้าน คิดว่า 4 ล้าน มาจากกระแสในโลกออนไลน์นำไปสู่กระแสจริง คราวนี้ก็เช่นนั้น การเมืองออนไลน์กับการเมืองออนกราวด์ประสานกันอย่างแนบแน่น ฉะนั้น จึงสามารถแปลงคะแนนจากออนไลน์มาสู่ออนกราวด์ได้
.....
อาจารย์ มองผลนิด้าโพลรอบ 3 พิธาอาจได้ ส.ส.ทะลุ 100 ชี้ซีเนริโอใหม่ ก้าวไกลได้ตั้ง รบ.?
3 พฤษภาคม 2566
มติชนออนไลน์
อาจารย์นิด้า มองผลโพลรอบ 3 พิธาอาจได้ ส.ส.ทะลุ 100 ชี้ซีเนริโอที่ 4 ก้าวไกลได้จัดตั้ง รบ.?
เมื่อวันที่ 3 พฤษาคม รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) วิเคราห์ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand แสดงความเห็นถึงคะแนนนิยมจากผลโพลต่างๆ ว่าขณะนี้คะแนนนิยมมีการเปลี่ยนแปลงจริง โดยสัญญาณค่อนข้างชัด ตั้งแต่ต้นเมษายนที่ผ่านมา ทั้งจากข้อมูลของนิด้าโพล กับปรากฏการณ์ในสังคมต่างๆ
เริ่มจากข้อมูลจากนิด้าโพลตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ก่อนที่จะมีการยุบสภา คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยู่ที่ 38% นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 15% เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ที่ 15% แต่พอหลังยุบสภา และหลังจากรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ก็มีเก็บข้อมูลอีกครั้ง ในช่วงต้นเดือนเมษายน พบว่า คะแนนนิยม น.ส.แพทองธาร ลดลงประมาณ 2% ขณะที่คะแนนนิยมพิธาเพิ่มขึ้น 3% กว่าๆ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ลดลงไปหน่อยหนึ่ง ในแง่ของผู้นำทางการเมือง น.ส.แพทองธาร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ทิศทางลดลง ขณะที่นายพิธา ทิศทางเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับคะแนนนิยมของพรรค ในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็มีทิศทางเดียวกัน โดยพรรคเพื่อไทยลดลง พรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น ขณะที่รวมไทยสร้างชาติก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นมา จะเป็นผลโพลหลายๆ ที่ที่พอน่าเชื่อถือได้ ก็จะไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจนำไปสู่การประมาณการ ส.ส.ได้ในอนาคต ซึ่ง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า พิธาฟีเวอร์ขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยไม่มีผู้นำการเมืองร่วมสมัยคนไหนจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ซึ่งดูได้จากเวลาคุณพิธาไปไหน จะเกิดบรรยากาศคล้ายๆ กับผู้นำการเมืองที่ได้รับความนิยมมาก เหมือนกับเป็นดาราไปแล้ว”
เมื่อถามถึงผลการสำรวจนิด้าโพลใน 3 ครั้ง นายพิธาคะแนนขึ้นทั้ง 3 ครั้ง ทำให้โจทย์หลังการเลือกตั้งเปลี่ยนหรือไม่ นายพิชายกล่าวว่า ก้าวไกลยังไปต่อในทางบวก จะขยับขึ้นอีก ขณะที่เพื่อไทยลดลงนิดนึง
“ในช่วงแรกๆ ของการเลือกตั้ง ผมประเมินพรรคก้าวไกลไว้ที่ 40-50 เสียง แต่ตอนนี้ต้องประเมินที่ 80-90 เสียงแล้ว ถ้าหากไปถึงวันเลือกตั้งทิศทางและกระแสยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องประเมินกันโดยมีแนวโน้มที่จะทะลุ 100 เสียง ฉะนั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็จะเป็นพรรคอันดับ 2
“แต่ ณ วันนี้ผมยังมองว่ายังไม่ถึงเป้า 160 เสียง ที่ทางคุณพิธาเคยพูด เพราะถ้าได้จริง 160 เสียง พรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคอันดับ 1 ทันที เพราะว่าในซีกฝ่ายค้านจากการประเมินตามที่นิด้าโพลประเมินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเพื่อไทยกับก้าวไกล ตั้งแต่เดือนกันยายน รวมกันจะได้ 48% พอเดือนธันวาคม รวมกันจะได้ 59% และเดือนมีนาคม ไปถึง 67% พอเดือนเมษายน ครั้งล่าสุด ไปถึง 69% เลยทีเดียว
“ถ้ารวมเอาพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ อย่างเสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย มันก็จะอยู่ 72% และเชื่อว่าซีกนี้คะแนนจะไม่ขยับลดลง แต่ขยับขึ้นก็ยากเช่นกันเต็มที่อาจจะอยู่ที่ 75%
“ฉะนั้น สมการถ้ามองจากความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนมากที่สุด แต่จะไม่ได้มากเท่าเหมือนกับที่ประเมินครั้งแรก 240 เสียง อาจจะลดลงเหลือ 200-210 เสียง ขณะที่ก้าวไกลอาจไปที่ 80-100 เสียง ดังนั้น 2 พรรคนี้คะแนนรวมกับ 300-320 เสียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประเมินจากตัวโพล ถ้าหากเป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย 2 พรรคนี้จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ได้อย่างแน่นอน” นายพิชายระบุ
แต่ นายพิชาย มองว่า การเมืองไทยมีความซับซ้อนกว่า กลไกตามระบอบประชาธิปไตยตรงไปตรงมา
ฉะนั้น ในทรรศนะของนายพิชาย จึงมี 4 ซีเนริโอความเป็นไปได้ในการจับขั้วรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ซีเนริโอที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จับมือกับพรรคก้าวไกล จะได้ประมาณ 300 เสียง แต่ยังไม่พอ 376 เสียงอยู่ดี แม้จะนำ 2-3 พรรค อย่างเสรีรวมไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย มารวมก็ยังไม่พอ เพราะจากการประเมิน จะได้เสียงไม่น่าเกิน 20 เสียง ดังนั้น เต็มที่ก็จะได้ประมาณ 340 เสียง ก็ยังขาดอีก แม้จะมีเสียง ส.ว.โหวตให้ ก็จะได้ไม่เกิน 20 คน
ดังนั้น จึงต้องขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทย จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย โอกาสจะเกิน 376 เสียงจบเลย แต่การบริหารจัดการรัฐบาลจะยาก เพราะพรรคร่วมเยอะ
ซีเนริโอที่สอง พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมองว่าจะได้ 30-40 เสียง ก็อาจจะยังไม่ถึงครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้น ก็ต้องไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถ้าดึงพรรคเหล่านี้มาร่วม ก็จะเกิน 250 เสียง และได้เสียง ส.ว.ในการโหวตนายกฯด้วย
แต่ว่าซีเนริโอนี้ต้องเผชิญหน้ากับคำถามของมวลชนพอสมควร และทางเพื่อไทยก็ได้ประกาศแล้วว่า จะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ถ้าจับภายหลังก็คงเห็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งในแง่ของการเมืองไทยก็มีความเป็นไปได้ แต่ผู้นำของมวลชนก็จะต้องไปอธิบาย
ซีเนริโอที่สาม จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย 4 พรรคนี้ ผมประเมินแล้วน่าจะได้ 150-180 เสียง ถ้า 4 พรรคนี้รวมกันเลือกนายกฯได้ เพราะมี 250 ส.ว. แต่จะได้รัฐบาลเสียงข้างน้อง และไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ไร้เสถียรภาพจนประชาชนขาดความชอบธรรม ประเทศจะเสียหายมาก และมีปัญหาตามมาอีกนาน
และ นายพิชาย ยังเสนอซีเนริโอที่ 4 นั่นคือ พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
“ขณะนี้มีความเป็นไปได้ถึงซีเนริโอที่ 4 ที่ผมไม่เคยมองมาก่อนนั่นคือ พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากดูตามกระแสแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ที่ไม่อาจตัดทิ้งไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 สัปดาห์ ถ้าพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาลจะง่ายเลย ก็จะจับมือกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2”
“คือถ้าก้าวไกลได้ 160 เสียงตามเป้า เพื่อไทยก็ได้ 140-150 เสียง การเมืองจะพลิกเลยและใช้พลังในการกดดันให้ ส.ว.มาโหวต รัฐบาลเสียงข้างมากในสภา” นายพิชายระบุ
นายพิชายกล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับขณะนี้พลังของนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่พอ แม้ น.ส.แพทองธารจะแรงกว่า แต่จะแรงสู้นายพิธาไม่ได้ เพราะทิ้งจังหวะจากเรื่องส่วนตัวไปคลอดลูก จึงไม่ได้พบปะกับมวลชน ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์เน้นการปราศรัย ซึ่งจะได้มวลชนเก่าที่เป็นฐาน
แต่นายพิธากับพรรคก้าวไกลใช้วิธีดีเบต ไปทุกสื่อ ฉะนั้น การกระจายการรับรู้ในโลกออนไลน์ และโลกจริงจะได้มากกว่า เราก็จะเห็นภาพบรรดาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลมีกระแสการรับรู้ในวงกว้าง และนอกจากตัวบุคคลที่ฟีเวอร์แล้ว พรรคก้าวไกลยังขายนโยบายจริงๆ ไม่ว่าใครไปพูดที่ไหนก็พูดเหมือนกัน เป็นภาษาเดียวกันอย่างเป็นระบบ จึงมีความชัดเจนมาก ทั้งจุดยืน อุดมการณ์กว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีแกนนำพูดอยู่ไม่กี่คน
เมื่อถามว่า กระแสฟีเวอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้จริงหรือไม่นั้น นายพิชายตอบว่า แปรได้ อ้างอิงได้จากปี 2562 กระแสของธนาธรฟีเวอร์ก็ยังไม่มากเท่าพิธาในขณะนี้ ตอนนั้นดูจากกูเกิลเทรนด์ที่พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนนิยมมาเป็นจำนวนมาก แม้จะมีปัจจัยจากยุบพรรคไทยรักษาชาติ แต่ก็เป็นส่วนน้อย จาก 6 ล้าน คิดว่า 4 ล้าน มาจากกระแสในโลกออนไลน์นำไปสู่กระแสจริง คราวนี้ก็เช่นนั้น การเมืองออนไลน์กับการเมืองออนกราวด์ประสานกันอย่างแนบแน่น ฉะนั้น จึงสามารถแปลงคะแนนจากออนไลน์มาสู่ออนกราวด์ได้
คะแนนความนิยมทางการเมืองโค้งสุดท้าย "ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 3"
— NIDA POLL (@NIDA_Poll) May 3, 2023
#พิธา #อุ๊งอิ๊ง #ประยุทธ์จันทร์โอชา #เศรษฐา #พรรคเพื่อไทย #พรรคก้าวไกล #พรรครวมไทยสร้างชาติ #นิด้าโพล #นิด้า #NIDAPoll #NIDA #โพลแห่งแรกในประเทศไทย
.
ผลสำรวจฉบับเต็มได้ที่ https://t.co/7MPfWtr8Kt pic.twitter.com/vFqdrWlhYq
คนโคตรเยอะ ถ้าก้าวไกลรักษากระแสแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจกลายเป็นพรรคอันดับ 1 ได้เลย#เลือกตั้ง2566 #พรรคก้าวไกลเบอร์31 #พิธา pic.twitter.com/riI36Db9cs
— บอล ธนวัฒน์ วงค์ไชย (@tanawatofficial) May 3, 2023