วันอาทิตย์, พฤษภาคม 21, 2566

'ชูวิทย์' ประเมิน 'ตู่-ป้อม-หนู' เงียบ รอวันเอาคืน แนะถอย 112 ใช้คุยในสภา รีบคุมอำนาจบริหาร - สรุป...ดีลที่ชูวิทย์จะเสนอคือ..ยกเลิกการแก้ 112 แลกกับการตั้งรัฐบาล ?

· 
'ชูวิทย์' ประเมิน 'ตู่-ป้อม-หนู' เงียบ รอวันเอาคืน แนะถอย 112 ใช้คุยในสภา รีบคุมอำนาจบริหาร
อ่านได้ที่ https://www.voicetv.co.th/read/62jM_7EMO

ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดีลตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลกับพรรคชาติพัฒนากล้ายุติ หลังถูกกระแสต่อต้าน ระบุว่า ก้าวไกลต้องระลึกไว้ว่ากระแสที่ได้มาเพราะอุดมการณ์ของคนเลือก เห็นได้จากก้าวไกลไม่ได้มีการใช้เงินเลย เพราะได้มาจากหัวคะแนนธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อได้คะแนนเสียงมาเพราะอุดมการณ์ และต้องการให้พรรคยังอยู่ก็ต้องเป็นอุดมการณ์ล้วนๆ การจะเอาพรรคการเมืองระบบเก่า อาทิ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า เข้ามาเพื่อแลกกับอุดมการณ์ตนคิดว่าไม่คุ้ม หากจะทำการเมืองแบบเดิม ดังนั้นพรรคก้าวไกลต้องระมัดระวังตัวอย่างสูง จะพลาดแม้แต่ก้าวเดียวไม่ได้ เนื่องจากหากไม่ผ่านขึ้นมา พรรคเพื่อไทย ก็จะขึ้นมาเป็นอันดับสอง

ชูวิทย์ เสนอพรรคก้าวไกล ถึงวิธีการหาเสียงสนับสนุนเพิ่ม ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย ขอให้ดำรงตัวและยันไว้อย่างนี้ เพราะคุณมีคะแนนถึง 14-15 ล้านเสียง และหากรวมพรรคเพื่อไทยก็จะได้ถึง 26-27 ล้านเสียงก็เพียงพอ ซึ่งหากจะต้องทำกับคะแนนเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตนมองว่าพรรคก้าวไกลประเมินเสียง ส.ว.มากเกินไป ควรให้สังคมตัดสินดูพฤติการณ์ ส.ว.ที่มาจากเชื้ออำนาจเก่าทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อคะแนนเสียงสังคมต้องการเปลี่ยนแปลงเยอะอย่างนี้จะต้านทานกระแสไหวหรือ

"หัวใจคือ มาตรา 112 ถ้าพรรคก้าวไกล ยอมถอยสักก้าวหนึ่ง มันดีกว่าที่คุณไปนั่งไล่เก็บเศษ 2-3 เสียง ไปกราบกราน ส.ว. เพราะที่ติดอยู่มันเป็นอุดมการณ์ล้วนๆ ว่า 112 ของคุณมันทำให้เดินหน้าไม่ได้ และเหตุที่คุณยอมถอยในเรื่องนี้ ก็เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า และไปใช้ในเวทีสภา แต่ไม่ใช่ไปเก็บเศษซากเผด็จการ เพื่อต้องการเป็นนายกฯ"

เมื่อถามย้ำว่า พรรคก้าวไกล จะอธิบายกับผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งอย่างไรหากยอมถอยเรื่อง ม.112 นั้น ชูวิทย์ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวทีในสภา เพราะพรรคก้าวไกลได้เสียงไม่ถึง 250 ฉะนั้นต้องคำนึงถึงพรรคร่วมรัฐบาลในการดำรงอยู่ของอำนาจที่จะเปลี่ยนเรื่องอื่นๆอีกมากมาย

"ถ้าคุณตีชิ่งเรื่อง ม.112 ส.ว. ก็จะเทคะแนนมาให้คุณ(พรรคก้าวไกล) เพราะไม่มีอะไรที่จะมาติคุณได้ แต่การจะทำอย่างนั้นต้องชี้แจงให้กองเชียร์ ซึ่งนี่มันคือการเมืองถ้าคุณไม่ประนีประนอม ก็หมายความว่าคุณเป็นนักการเมืองไม่ได้หรอก มันจำเป็นต้องถอยหรือลุกบ้าง"

ชูวิทย์ ยังกล่าวถึงท่าทีคู่ปรับอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ช่วงนี้หายตัวเงียบ แล้วเผยภาพเดินทางไปที่ต่างๆ เฉพาะในโซเชียลเท่านั้น ว่า เค้าต้องรู้ตัวแล้วว่า ณ วันนี้ต้องเงียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขายอม แต่เงียบเพื่อจะรุกต่อ ซึ่งมีท่าทีสอดคล้องกับฝ่ายอำนาจนิยมเก่า อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั่นแสดงให้เห็นว่าความเงียบของเขาไม่ใช่จะยอมแพ้ หรือมอบอำนาจให้พรรคก้าวไกลง่ายๆ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง เห็นได้จาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็ส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าการเมืองต่อ

"ทั้ง 3 เขาเงียบ แต่ปากบอกว่าให้ก้าวไกล จัดการทำงานเพื่อตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่เป็นเกมที่จะปล่อยง่ายๆ ฝ่ายอำนาจนิยมต่างๆรอจังหวะอยู่ เพราะการเงียบสงบของเขา แสดงถึงการหาวิธีที่จะหยุดพรรคก้าวไกล"

ในช่วงท้าย ชูวิทย์ แนะนำพรรคก้าวไกลว่า ต้องพยายามอย่างยิ่งในการใช้กระแสของประชาชนผู้ลงคะแนนซึ่งขณะนี้ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ปัญหาต่อไปการจะทำอย่างไรให้ได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องจำเป็นให้ฝ่ายต่างๆยอมรับ อาทิ ฝ่ายอำนาจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายนายทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติก่อนที่จะขึ้นสู่อำนาจ พร้อมเชื่อว่าฝ่ายที่กำลังสูญเสียอำนาจไม่ได้ยอมแพ้แต่กำลังหาวิธีเพื่อจะหาช่องทางกลับมา ไม่เช่นนั้นก็ออกมายอมรับความพ่ายแพ้แล้วเหมือนในต่างประเทศ เหมือนในอดีตกรณี 'ขวาพิฆาตซ้าย' ที่ยอมไป 2-3 ปี แล้วพวกนี้ก็จะกลับอีกซึ่งจะรุนแรงกว่าเก่า

อ่านได้ที่ https://www.voicetv.co.th/read/62jM_7EMO
.....
Prawais Prapanugoolkij
12h
·
เป็นไปตามคาดว่าแรงต้านแก้ 112 มีเยอะ ที่เห็นก็ดาหน้าค้านทั้ง 2 สภา...จะว่าไป ทุกคนที่เข้าถึงอำนาจมีเงินเดือนจากภาษี
ส่วนเพื่อไทย ถึงไม่ค้านแต่ก็วางตัวบนภูดูเสือกัดกัน...รอดูว่าสังคมจะไปทางไหน
แนวทางการแก้ 112 ของก้าวไกล เท่าที่เห็นรายละเอียดคร่าวๆ เป็นแนวทางเดียวกับนิติราษฎร์เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ก้าวไกลยอมถอยแล้ว โดยเอาออกจาก MOU ไว้ไปขับเคลื่อนเองพรรคเดียว. แต่ศักดินายังไม่พอใจ ต้องการให้ก้าวไกลหยุดเด็ดขาด
ทำไมชูวิทย์ถึงเลือกคุยกับก้าวไกลวันที่ 23 พฤษภาคม 2566?...สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยมองชูวิทย์เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ลักษณะชูวิทย์เหมือนคนกึ่งบ้า แต่นั่นแค่ปกปิดตัวตนแท้จริง...สำหรับผม เขาเป็นลูกครึ่ง...กึ่งเทพกึ่งมาร. ตัวตนแทีจริงเขาจะเป็นเทพ มาร หรือลูกครึ่ง ก็พิจารณากันเอง
ทำไมชูวิทย์ถึงออกมาประกาศขอคุยกับก้าวไกลในวันที่ 23 พฤษภาคม 3566..มีสะดุดใจผม 2 ประเด็น
หนึ่งคือคำพูดของชูวิทย์
หนึ่งคือทำไมต้องเป็นวันที่ 23 พฤษภาคม
ในคำพูดชูวิทย์ อ้างมีผู้ใหญ่ติดต่อมา ให้ก้าวไกลถอยแล้วการตั้งรัฐบาลจะราบรื่น
-ใครคือผู้ใหญ่ของชูวิทย์...ประเด็นนี้ได้แต่เดา แต่คิดว่าทุกคนคงเดาไปในทางเดียวกัน
-ให้ก้าวไกลถอยในเรื่องอะไร...ประเด็นนี้ ต้องดูว่าอะไรที่ศักดินาแคร์สุด. แน่นอนว่าเป็น 112...เรื่องที่ให้ก้าวไกลถอยจึงเป็นการแก้ 112...อย่าลืมว่า 112 คือไข่ในหินของเขา มันไม่เพียงเป็นอาวุธหนัก แต่ยังเป็น...
*สัญลักษณ์แห่งอำนาจ
*สัญลักษณ์แห่งระบอบราชาธิปไตยในเสื้อคลุมประชาธิปไตย
ในคำพูดของชูวิทย์ สิ่งที่ให้ก้าวไกลถอยคือยกเลิกความคิดแก้ 112
ทำไมศักดินาถึงหวาดกลัวประเด็นนี้....กระแสที่กดดันให้ยกเลิก 112 มาตลอดนับสิบปี และยิ่งเพิ่มสูงจนแม้แต่เด็กหญิงอายุ 15 ยังยอมติดคุกเพื่อต่อต้านอำนาจพวกเขา...หยกสู้กับเบื้องบนของศาล
ทั้งหมดคือดีลที่ชูวิทย์จะคุยกับก้าวไกลในวันที่ 23 พฤษภาคม
ทำไมชูวิทย์เลือกวันที่ 23 พฤษภาคม...
ถ้าผมจำไม่ผิด กฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา..ซึ่งขณะนี้มีเพียงวุฒิสภา...ในวันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งผมเคยประเมินว่า ใบสั่งถึง สว.จะมาในวันนั้น...
ชูวิทย์นัดคุยกับก้าวไกลในวันนั้นจึงสอดรับกันพอดี
สรุป...ดีลที่ชูวิทย์จะเสนอคือ..ยกเลิกการแก้ 112 แลกกับการตั้งรัฐบาล
ถ้าดีลนี้ไม่สำเร็จ ก้าวไกลจะเจอ สว.สกัด
ถ้าก้าวไกลรับดีล...ชื่อเสียงภาพลักษณ์ก้าวไกลจะถูกทำลายเอง
ไม่ว่าดีลนี้จะสำเร็จหรือไม่...ศักดินามีแต่ได้