‘เอพริลฟูล’ ปีนี้โควิดเอาจริงไม่ล้อเล่น นิวไฮอีกแล้วสำหรับรุ่น ‘ออมิครอน’ วันนี้ตาย ๙๒ ติดเพิ่ม ๖ หมื่น ถ้ารวมตรวจ ‘เอทีเค’ ถึงไม่รวมก็นิวไฮอยู่ดี ๒๘,๓๗๙ ราย ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง “ขอให้อดทนเก็บตัวอีก ๔ เดือน” ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง นิด้า แนะ
“Wave #5 Omicron เดินหน้าสู่สงกรานต์ เตรียมพร้อมรับ India Model สู้แบบเจ็บๆ อีกนานกว่าจะจบ” เนื่องเพราะ ตั้งแต่ ๑ มกรามาแล้ว เราตรวจแบบ RT-PCR กันน้อย “ตัวเลขเลยขึ้นไม่สุด เห็นไม่ครบ ควบคุมโรคไม่ได้ หางเวฟจึงยาวมากๆ”
อีกทั้งการตรวจ ATK ก็ลดลงไปมาก ตัวเลขรวมที่เคยขึ้น ก็กลับมาทรงตัว แต่ไม่ยอมลงต่อ ทั้งที่สถานการณ์ยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง กรณีนี้ไปพ้องจองกับเรื่องที่ ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ โวยขึ้นมาว่า ยอดติดเชื้อตามรายงานของกรมควบคุมโรค และ ศบค.นั้นต่ำมาก
“ขัดกับความรู้สึกของคนหน้างาน ที่พบว่าโควิดยังระบาดหนักมาก โดยเฉพาะผลตรวจ ATK ที่มีผลบวกทั้งประเทศ ทำไมน้อยผิดปกติ” ซึ่งคือเช้าวันที่ ๓๑ มีนามีรายงานข้อมูลของวันที่ ๓๐ ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อจากเอทีเคและวีอี ที่ ๑๖,๐๗๙
แต่เมื่อไปดูรายงานการติดเชื้อรายจังหวัด ถ้าเอาตัวเลขของชลบุรี สงขลา และเชียงรายมารวมกัน (๘,๓๒๓+๔,๘๓๙+๓,๓๒๒ ตามลำดับ) ก็ได้จำนวนรวมตรงนี้ ๑๖,๔๘๔ เข้าไปแล้ว เพจของชมรมฯ บอกว่า “การคุมการระบาดให้ต่ำนั้น
เป็นสิ่งที่เราคนหน้างานพยายามกันเต็มที่ แต่ต้องไม่ใช่การคุมยอดตัวเลข เราต้องควบคุมโรคไม่ใช่ควบคุมเลข เราเชื่อมั่นว่าการรายงานตัวเลขจริงเท่านั้น จึงจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ความจริงเท่านั้นที่จะทำให้คนไทยตระหนักโดยไม่ตระหนก”
ดร.สันต์ อาจารย์พิเศษแห่งคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ชี้ว่าชลบุรีเป็นจังหวัดที่ขยันตรวจมาก จึงเจอผู้ติดเชื้อเพิ่มแต่ละวัน (ทั้งซีพีอาร์และเอทีเค) เกือบ ๑ หมื่นราย ถ้าที่อื่นๆ ขยันแบบเดียวกันทุกจังหวัด “ตัวเลขทั่วประเทศน่าจะข้ามแสนไปแล้ว”
สำหรับ กทม. “ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจยกระดับขึ้นหลังสงกรานต์” ทั้งนี้ดูจากอัตราการเสียชีวิตที่สูงถึง ๐.๔% (เทียบกับสิงคโปร์ที่แค่ ๐.๐๕-๐.๑% เท่านั้น) “ตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงต่อวันใน กทม.ควรจะอยู่ที่ระดับ ๑๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ คน” เช่นกันกับในภาพรวมทั้งประเทศ
“ภายใน ๔ เดือนข้างหน้า เราจะเห็นตัวเลข RT-PCR ต่อวันในระดับมากกว่า ๒๐,๐๐๐ คน ไปอีกอย่างน้อยถึง ๑๕ มิ.ย.๖๕ และยังคงมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน ไปจนถึง ๑ ส.ค.๖๕” ฉะนั้นตัวเลขที่ลดลงเมื่อสามอาทิตย์ที่แล้วไม่สะท้อนความจริง “น่าจะมาจากการตรวจที่ลดลงมาก”
ข้อน่าคิดจากการประเมินของ ดร.สันต์ ก็คือ “ถ้าคำนวณตามเส้นแนวโน้มเดิม (วานนี้) ๓๑/๓/๒๕๖๕ ผู้ติดเชื้อน่าจะอยู่ที่ระดับ ๑๓๐,๐๐๐ คนต่อวัน ไม่ใช่ ๔๐,๐๐๐ -๕๐,๐๐๐ คน” อย่างที่เห็น หากมองในแง่ร้ายไว้หน่อย จะได้ไม่ต้องผิดหวังมากภายหลัง
“อาจจะเกิด Herd Immunity ในอีก ๔ เดือนข้างหน้า ใครรักสุขภาพขอให้อดทนรอ เพื่อเป็น ๓๐% สุดท้ายที่อาจรอดจากการติดเชื้อ หรืออย่างน้อยก็เสี่ยงต่ำ” และถ้าการเร่งฉีดวัคซีนเข็มบู๊สเตอร์ทำได้สำเร็จ ก็จะลดจำนวนติดเชื้อเพิ่มเหลือ ๒-๔ หมื่นต่อวัน
“พวกเราอยู่ในการระบาดระลอกโอมิครอน ที่ใครๆ ชอบบอกว่ามันจะสั้น ขึ้นเร็วลงเร็ว แต่เวลา ๓ เดือนได้พิสูจน์แล้วว่า การระบาดไม่ลงถ้าไม่ควบคุมโรคจริงจัง ไม่ฉีดวัคซีนที่ดีและมากพอ ไม่ปฏิบัติตามกฎอะไรกันเลย” ดร.สันต์เตือนสติกันว่า
การจบของ ‘โควิด’ แท้จริงก็คือ ไม่จบ “ในแต่ละปีโควิดจะเป็นสาเหตุการตายหลายหมื่นคน เป็นอันดับ ๒ รองจากมะเร็งเท่านั้น แต่ชีวิตพวกเราส่วนใหญ่จะกลับมาเดินหน้าไปได้ตามปกติ นี่คือ Endemic ที่อาจไม่ได้สวยหรู แต่ก็ต้องจำใจอยู่กับมัน”
(https://news.ch7.com/detail/560024 และ https://news.ch7.com/detail/559975BzU)