วันพุธ, เมษายน 20, 2565

เรื่องเล่าของคนไทยในยูเครน ผู้รอดชีวิตจากการเข้ายึดครองของรัสเซียในบูชา เธอสามารถอยู่รอดได้เพียงเพราะเธอไม่ใช่ชาวยูเครน


Ukrainian community in Thailand
April 15 at 10:33 AM ·

“ฉันอยู่กับกองกำลังรัสเซียเป็นเวลาหนึ่งเดือน ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย”
หญิงไทยวัย 55 ปีรอดชีวิตจากการเข้ายึดครองของรัสเซียในบูชา

ชาวไทย คุณญานภัส พลามิตร อาศัยอยู่ในยูเครนมา 12 ปีและทำงานเป็นหมอนวดในร้านทำผมในกรุงเคียฟ รอดชีวิตจากสงคราม 40 วันในเมืองบูชาที่รัสเซียได้เข้ายึดครองไป ตลอดเวลานี้ผู้หญิงอายุ 55 ปีอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชั้น 5 คนเดียวกับแมวอีกสองตัวโดยไม่มีอาหารปกติทั่วไป ไม่มีการสื่อสาร, ไฟฟ้า, แก๊สหุงต้ม และความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หญิงชาวไทยคนนี้ทานเพียงไข่ดิบที่เจอในตู้เย็นและในอพาร์ตเมนต์ของเพื่อนบ้าน เธอสามารถอยู่รอดได้เพียงเพราะเธอไม่ใช่ชาวยูเครน

นักข่าวพูดคุยกับชาวต่างชาติคนนี้ในเมืองลวิฟ ซึ่งเธอมาถึงหลังจากการปลดปล่อยบูชาและเล่าเรื่องตนให้ฟัง
“ฉันบอกว่า ถ้าฉันตาย ฉันจะตายที่บ้าน”

ในคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ คุณญานภัส พลามิตร ผู้อาศัยอยู่ในเมืองบูชาซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชาวยูเครน ตื่นขึ้นมาในอพาร์ตเมนต์ของเธอจากเสียงดังของระเบิด ซึ่งชาวรัสเซียวางระเบิดสนามบินในเมืองโกสโตเมลที่อยู่ใกล้เคียง ผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในยูเครนเป็นเวลา 12 ปี สองปีล่าสุดที่อาศัยอยู่ในเมืองบูชา เธอเดินทางเข้ากรุงเคียฟทุกเช้าเพื่อไปทำงานในสตูดิโอนวดไทย

“การวางระเบิดดำเนินต่อไปจนถึงเช้า จากนั้นข่าวก็รายงานว่ากองทัพรัสเซียโจมตีและกำลังจะไปที่โกสโตเมลและเชร์โนบิล ทั้งวันฉันเห็นจรวดกำลังบินไปที่สนามบินผ่านหน้าต่างห้องฉัน บ้านของฉันอยู่ห่างจากเชร์โนบิล 100 กิโลเมตร และห่างจากโกสโตเมล 30 กิโลเมตร ฉันมองเห็นควันจากสนามบินผ่านหน้าต่าง ที่นั่นถูกทิ้งระเบิดทั้งวัน” คุณญานภัสกล่าว หญิงคนนี้อาศัยอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร 5 ชั้นโดยลำพังในอพาร์ตเมนต์ที่มีแมวเจ็ดตัว เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น เพื่อนบ้านก็เริ่มอพยพออกจากอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาเป็นกลุ่ม เท่าที่คุณญานภัสจำได้ เหลือเธออยู่คนเดียวในอาคาร

“ผู้บริหารของฉันบอกว่า ‘ไม่ต้องกังวล คุณยังอยู่ที่บ้านได้’ ฉันอยู่เพราะฉันคิดว่ามันจะเหมือนกับในปี 2014 เมื่อสงครามในดอนบาสเริ่มต้นขึ้น ฉันไม่ได้คาดหวังว่าสงครามจะมาถึงกรุงเคียฟ พวกทหารไปไม่ถึงกรุงเคียฟนะคะ แต่มาที่บูชาแทน” หญิงคนนั้นกล่าว

เมื่อคุณญานภัสรู้ว่าการอยู่ในเมืองบูชานั้นไม่ปลอดภัยก็สายไปที่จะอพยพหนีออกจากเมือง
“สถานทูตของเราระบุว่าในการอพยพจำเป็นต้องไปที่เมืองลวิฟ แต่ฉันไปไม่ได้ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ บูชาถูกกองทัพรัสเซียปิดล้อม แฟนของฉันไม่สามารถมาหาเพื่อพาฉันหนีไป และฉันก็ออกจากที่นั่นไม่ได้” คุณญานภัสกล่าว

ดังนั้นคุณญานภัสจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเธอในบูชาต่อไป และเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เพื่อนบ้านของเธอทั้งหมดอพยพหนีออกจากอพาร์ตเมนต์ และทุก ๆ วันในเมืองบูชามีอาวุธทางทหารรัสเซียและอุปกรณ์ทางทหารเพิ่มขึ้น

“เมื่อวันที่ 4 มีนาคม เพื่อนของเจ้านายฉัน คุณซาช่า มาหาฉัน เขาอาศัยอยู่ในเมืองบูชาซึ่งอยู่ห่างจากฉันไป 2 กิโลเมตร เขาเสนอพาฉันไปที่หลบภัยระเบิดเพราะที่นั่นปลอดภัยกว่า ขณะที่เรากำลังเดินอยู่ เราเห็นซูเปอร์มาร์เก็ตถูกทิ้งระเบิด มีรถถูกยิงจำนวนมาก และศพอีก 2 ศพอยู่บนถนน” คุณญานภัสเล่า
คุณญานภัสจำได้ว่า เมื่อพวกเขามาถึงศูนย์พักพิง ที่นั่นมีคนอยู่อยู่แล้วประมาณ 400 คน

“แต่ฉันไม่ได้นำเสื้อผ้าอุ่น ๆ, น้ำ และอาหารไปด้วยเลย ไม่รู้จะอยู่ได้กี่วัน คิดว่าน่าจะ 1-2 วัน ดังนั้นวันรุ่งขึ้นที่ 5 มีนาคม ฉันจึงขอให้ซาช่าพาฉันกลับบ้าน ฉันหนาวและหิว ฉันได้รับอนุญาตให้อยู่ในศูนย์พักพิงได้นานเท่าที่จำเป็น แต่ไม่มีอาหารให้และฉันไม่มียาติดตัวมาเลย ฉันพูดว่า: ถ้าฉันตาย ฉันขอตายที่บ้าน” คุณญานภัสกล่าว

ชายคนนั้นตกลงจะพาเพื่อนกลับบ้าน ระหว่างทางคุณญานภัสเล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงระเบิดหลายครั้ง

“เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องทำความร้อน ไม่มีแก๊สหุงต้ม เพื่อนบ้านก็ทิ้งบ้านไปหมดแล้ว เหลือฉันอยู่คนเดียว…และอยู่แบบนี้จนถึงวันที่ 5 เมษายน ฉันหนาวมากตลอดเวลา ในวันแรกฉันเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีอะไรในนั้นบ้าง ฉันมีไข่, ขนมปัง, ขนมหวาน และน้ำ” คุณญานภัสกล่าว

“ตลอดทั้งเดือนกองกำลังมาประจำการที่บ้านของฉันและฉันแน่ใจว่านี่คือกองกำลังยูเครน” อาหารของคุณญาณภัสหมดในหนึ่งสัปดาห์ สามวันต่อมาเธอจำเป็นต้องปล่อยแมวไปตามถนน ไม่มีอะไรให้กินเลย หญิงคนนั้นถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับแมวอีกสองตัว และจากของที่เก็บไว้ เธอมีเพียงไข่ดิบ ซึ่งเธอไม่สามารถปรุงอาหารได้เนื่องจากไม่มีแก๊สและไฟฟ้า

“ฉันกินไข่ดิบเพียงฟองเดียวทุกวัน และอีกฟองให้แมวทั้งสองตัวกิน เรากินอาหารแค่ครั้งเดียวต่อวันและดื่มน้ำแค่นิดเดียวเท่านั้น” คุณญานภัสนึกถึง เธอเล่าว่าเธอนอนไม่หลับเลยในตอนกลางคืนและได้งีบเพียง 2-4 ชั่วโมงในระหว่างวัน

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ยานพาหนะทางทหารประมาณ 20 คันหยุดที่บ้านของคุณญานภัส จากนั้นทหารก็ออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ

“คนเหล่านี้บุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ทั้งหมดในบ้านใกล้เคียง แต่พวกเขาไม่ได้เข้ามาในห้องของฉัน และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พวกเขาพังประตูอพาร์ตเมนต์ มีผู้ชายประมาณ 15 คนขึ้นมาที่ชั้น 5 ฉันได้ยินพวกเขาเปิดประตูอพาร์ตเมนต์ใกล้เคียง ฉันล็อกประตูด้วยแม่กุญแจและซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรค่ะ พวกเขาเข้ามาใกล้อพาร์ตเมนต์ของฉันและพังแม่กุญแจ เปิดประตู เดินเข้ามาพร้อมกับไฟฉายและเจอฉันเข้า พวกเขาพูดว่า “ออกมา” และฉันก็ต้องออกมา ฉันออกมาและถามพวกเขาว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม แต่พวกเขาไม่เข้าใจ” คุณญานภัสกล่าว เธอไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นใคร เป็นทหารยูเครนหรือทหารรัสเซีย เนื่องจากในเมืองไม่มีไฟฟ้าใช้ โทรศัพท์ของคุณญานภัสจึงใช้ไม่ได้ เธอเลยเข้าใช้อินเทอร์เน็ตหรือโทรทัศน์ไม่ได้เลย เธอจึงไม่รู้เรื่องเครื่องหมายระบุตัวตนของชาวยูเครนและชาวรัสเซีย

พวกเขาขอดูเอกสารของฉัน ฉันเลยเปิดหนังสือเดินทางไทยให้พวกเขาดู แต่ฉันไม่ได้ให้หนังสือเดินทางที่เป็นภาษายูเครน ดังนั้นหนึ่งในพวกเขาเรียกร้องว่า “โทรศัพท์ โทรศัพท์ โทรศัพท์!” ฉันมีโทรศัพท์สองเครื่องและฉันให้เครื่องหนึ่งไป ทหารดึงซิมการ์ดออกจากโทรศัพท์ ทำลายและโยนทิ้งไป ฉันถามพวกเขาด้วยท่าทางกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าฉันไหม พวกเขาตอบว่า “ไม่” พวกเขามีอาวุธมากมาย ทหารคนหนึ่งพูดและแจ้งหัวหน้าของเขาเกี่ยวกับการเจอฉัน” คุณญานภัสกล่าว
หลังจากนั้นทหารก็พาคุณญานภัสออกไป เธอถูกทหารรัสเซียคนอื่นสอบปากคำ

“ฉันถูกส่งไปที่รถคันใหญ่ที่มีทหารประมาณ 20 นาย พวกเขาเอาโทรศัพท์และหนังสือเดินทางของฉันไป ฉันถูกถามว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันทำงานที่ไหนในกรุงเคียฟ ฉันแสดงนามบัตรของฉันจากร้านนวดในกรุงเคียฟให้ดู พวกเขาถามฉันว่า “คุณทำงานที่เคียฟ แล้วคุณทำอะไรในบูชา” ฉันตอบว่าฉันอาศัยอยู่ที่นี่และทำงานในกรุงเคียฟ แล้วพวกเขาก็ถามฉันว่าฉันอายุเท่าไร พอฉันตอบว่าฉันอายุ 55 ปี ฉันแปลกใจมาก พวกเขาถามฉันว่าอยู่คนเดียวหรือไม่ ฉันตอบว่าใช่ มีคนบอกฉันว่าฉันสามารถกลับไปที่อพาร์ตเมนต์และอยู่ที่นั่นได้ แต่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินบนถน” คุณญานภัสกล่าว

ตามคำกล่าวของคุณญานภัส กองกำลังรัสเซียทำการปล้นทรัพย์ พวกเขานำสิ่งของและอาหารออกจากอพาร์ตเมนต์ บรรทุกสิ่งของที่ขโมยได้ไปในรถยนต์ขนาดใหญ่ 5 คัน อย่างไรก็ตามทหารไม่ได้เอาอะไรจากอพาร์ตเมนต์ของเธอไป

“ใช่ ฉันไม่มีค่าอะไรเลย พวกเขาบอกฉันว่าฉันสามารถหาอาหารได้ในอพาร์ตเมนต์ห้องอื่น แต่นั่นคือหลังจากที่พวกเขานำทุกอย่างออกจากที่นั่นหมดแล้ว ฉันพบว่าในอพาร์ตเมนต์เหล่านี้มีแต่ไข่ดิบสำหรับตัวฉันเองและแมวของฉันเท่านั้น” คุณญานภัสกล่าว

ในวันที่ 20 มีนาคม กองกำลังรัสเซียได้ส่งมอบยุทโธปกรณ์จำนวนมากใกล้ที่พักของคุณญานภัส ทหารรัสเซียวางงยุทโธปกรณ์ทางทหารไว้ระหว่างอาคารที่พักอาศัยเพื่อซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพลเรือน

“มีรถถังจอดอยู่ทุก ๆ 500 เมตร ฉันเห็นพวกเขาจากหน้าต่าง พวกเขามีตัวอักษร V และฉันคิดว่านี่เป็นสัญญาณของกองกำลังยูเครน ฉันไม่มีอินเทอร์เน็ตและสิ่งสุดท้ายที่ฉันรู้เกี่ยวกับกองกำลังรัสเซียคือพวกเขาติดตัวอักษร Z ตลอดทั้งเดือนกองทหารตั้งฐานอยู่ใกล้ฉัน และฉันแน่ใจว่าเป็นภาษายูเครน และเมื่อสองวันที่แล้ว [9 เมษายน] เพื่อนของฉันอธิบายให้ฉันฟังว่าพวกเขาเป็นคนรัสเซีย” คุณญานภัสกล่าว

และพวกเขาไม่ได้ฆ่าฉัน! ฉันอยู่ใกล้กับกองกำลังรัสเซียมากและรอดชีวิตมาได้ ฉันคิดว่าฉันเกิดใหม่อีกครั้งตอนอายุ 55 ปี” หญิงคนนั้นกล่าวเสริม

“พวกเขาต้องการอะไรจากชาวยูเครน? ฉันไม่เข้าใจ พวกเขาบ้าไปแล้ว”

คุณญาณภัสใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนในอพาร์ตเมนต์ของเธอโดยไม่มีการสื่อสาร, อาหารปกติทั่วไป, น้ำ และแสงสว่าง ครั้งหนึ่งเธอเจอพาวเวอร์แบงก์ในอพาร์ตเมนต์ใกล้เคียง ค่าโทรศัพท์เพียงพอที่จะโทรหาเพื่อนของเธอเพียงช่วงสั้น ๆ และบอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

“ฉันนั่งอยู่ใต้ผ้าห่มตลอดเวลาและฟังเสียงระเบิดที่ถูกปล่อยลงมา [เสียงขีปนาวุธและระเบิด] บ้านของฉันปลอดภัยเพราะมีทหารอยู่ใกล้ ๆ ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม ถึง 30 มีนาคม มีการทิ้งระเบิดจำนวนมากในโกสโตเมล,​ในอีร์พิน, ในเคียฟ ฉันได้ยินทั้งหมดเลย ทุกเย็นฉันจะฟังเสียงระเบิดที่ได้ยินนานหลายชั่วโมง ฉันไม่เคยลงไปดู ฉันแค่มองผ่านหน้าต่างขณะที่ทหารขับรถผ่านบ้านของฉัน และฟังว่าพวกเขาโจมตีเมืองอย่างไร” คุณญานภัสกล่าว

ตามคำบอกว่าคุณญานภัส เมื่อวันที่ 30 มีนาคม เธอได้ยินเสียงระเบิดมากมายและเห็นควันหนาทึบจากหน้าต่างของเธอ และเมื่อวันที่ 31 มีนาคมก็เงียบลง

“เมื่อเวลาประมาณ 10 โมง ยุทโธปกรณ์ทั้งหมดก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากบูชาไป ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่าพวกเขา [ทหารรัสเซีย] กำลังจะจากไป แต่ฉันไม่กล้าลงไปหรอก ในเช้าวันที่ 1 เมษายน ฉันเห็นยานเกราะหลายคันอีกครั้ง แต่ตอนนี้พวกเขามีธงยูเครนด้วย รถยนต์ประมาณ 60 คันขับเข้ามาในบูชา แบะทหารจำนวนมากก็ออกมา พวกเขาสวมปลอกแขนสีน้ำเงิน ฉันไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร” คุณญานภัสกล่าว

เมื่อวันที่ 2 เมษายน อีวาน เพื่อนบ้านสูงอายุกลับมาที่บ้านของคุณญานภัส เขาเคาะประตูบ้านคุณญานภัสและอธิบายให้เธอฟังว่ากองกำลังรัสเซียออกจากเมืองไปแล้ว

“แล้วในวันที่ 4 เมษายน ซาช่า เพื่อนของฉันโทรหาฉันและบอกว่าจะพาฉันออกไปในวันรุ่งขึ้น เมื่อวันที่ 5 เมษายน เขามาหาฉัน แนะนำให้ฉันรู้จักกับทหารยูเครน คาทิยา และพวกเขาพาฉันไปที่กรุงเคียฟ ระหว่างทางเราเห็นสิ่งเลวร้าย รถถูกไฟไหม้มากมายหลายคัน ทุกอย่างถูกระเบิดทิ้ง บ้านหลายหลังถูกทำลาย เราขับช้ามากเพราะมันยากต่อการเคลื่อนตัวบนถนนสายนี้” คุณญานภัสกล่าว
ในกรุงเคียฟ เธอมอบแมวสองตัวของเธอให้กับคนที่พร้อมจะเลี้ยงและเดินทางไปสถานที่ปลอดภัยในเมืองลวิฟ ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวที่เธอเจอและนรกที่กองกำลังปลดปล่อยรัสเซียในบูชา

“ผู้คนจำนวนมากในบูชาเสียชีวิต ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนรัสเซียถึงฆ่าคน ทำไมประชาชนถึงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่อย่างสงบสุข พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นปีศาจ ฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขาฆ่าคนอื่นทำไม ชาวยูเครนเป็นชนชาติที่ดี ที่นี่ให้งานฉันทำ คนที่นี่เป็นมิตรกับฉันมาก แม้แต่กับคนแปลกหน้า
คาทิยา ทหารคนนี้ไม่ได้รู้จักฉันเลย แต่เธอพาฉันออกจากบูชาไปยังเคียฟ อวยพรให้ฉันโชคช่วยฉัน รัสเซียทำชั่วไว้ พวกเขาต้องการอะไรจากชาวยูเครนกันแน่? ฉันไม่เข้าใจ พวกเขาบ้าไปแล้ว” คุณญานภัสกล่าว

คุณญานภัส พลามิตร ออกจากยูเครนแล้วและตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัย เธออาจจะกลับมาที่ยูเครนหลังสงครามจบลงหรือไม่ ไม่มีใครทราบ