ณ เวลานี้ ปัญหาพม่า ปัญหาไทย คล้ายกันเสียจนเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’ การกระทำต่างๆ ของคณะรัฐประหารพม่าเรียกได้ว่าลอกแบบรัฐประหารไทยอย่างลงลึกรายละเอียด แม้กระทั่งวิธีการของทางฝ่ายต่อต้านก็ประดุจดัง ‘คู่แฝด’
หากแต่ประชาชนพม่าต่อต้านทหารยึดอำนาจ หนักแน่นและหลากหลายกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นการที่ชาวไตหนองอินเลย์นำเรือหางยาวออกมาชุมนุมต้านการยึดอำนาจ หรือข้าราชการมากกระทรวงทบวงกรม ประท้วงด้วยการผละงานออกมาร่วมชุมนุมกับชาวบ้าน
แล้วยังมีการจัดตั้งกองทุนช่วยจุนเจือรายได้แก่ข้าราชการเหล่านั้น โดย “กลุ่มองค์กรอาสาและหน่วยงานพัฒนาสังคม ประสานงานกับบรรดานักร้องและดารา จัดตั้งกองทุนสนับสนุนข้าราชการที่ต้องออกจากงานมาประท้วงการรัฐประหาร”
กลุ่มสนับสนุนวีรบุรุษ (และสตรี) ที่เป็นแกนกลางเรื่องนี้แถลงว่า “รัฐบาลทหารเช่นนี้จะถูกขจัดออกไปได้ก็ด้วยแต่ ความมุ่งมั่นและแข็งขันในการรณรงค์ทำอารยะขัดขืน” ต่อการที่พวกเขา “ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจ โดยที่คนทั่วประเทศแสดงออกชัดแจ้งว่าต่อต้าน”
ไม่ว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารจะแถลงเรียกร้องให้บรรดาข้าราชการกลับไปทำงานดังเดิม “เพื่อประเทศชาติ” หรือจะมีการปลดปล่อยนักโทษราว ๒๓,๓๑๔ คน กับนักโทษต่างชาติอีก ๕๕ คน อ้างว่าในโอกาส “ก่อตั้งรัฐประชาธิปไตยใหม่ (Establishing a new democratic state)”
ถ้อยคำมุสา และกลลวงแบบขอไปที เพียงเพื่อจะได้ฉกชิงอธิปไตยจากปวงชนเอาไปครอบครองเป็นประโยชน์แห่งตนและพวกพ้องอย่างสะดวก มิใยที่กระแสสากลโถมต้านและทัดทานตั้งแต่แรกเริ่ม นับจากสภาความมั่นคงสหประชาชาติ
ซึ่งออกแถลงการณ์คัดค้านการยึดอำนาจของคณะทหารพม่าครั้งนี้ โดยมีทั้งรัสเซียและจีนร่วมลงนาม ตามด้วยนายกรัฐมนตรีหญิงของนิวซีแลนด์ ประกาศตัดขาดไม่ยอมรับสมาชิกฮุนต้าคณะยึดอำนาจพม่าทั้งหมด และห้ามเข้าประเทศ
ล่าสุดเป็นรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐประกาศไม่ยอมรับการยึดอำนาจในพม่า ‘คว่ำบาตร’ นายพลและอดีตเจ้าหน้าที่ในกองทัพเทียนมา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐประหาร ๑๐ คน แล้วยังบอยคอตกิจการค้าอัญมณีและหยก ๓ แห่งที่คณะทหารเป็นเจ้าของ
เป็นจังหวะอันคล้องจองกับที่ก่อนหน้านี้นิดเดียว ทั้งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติและรัฐบาลสหรัฐ แสดงความกังวลต่อการที่รัฐบาลไทยตั้งข้อหาหมิ่นกษัตริย์ และจับกุมคุมขังต่อแกนนำเยาวชน เพิ่มขึ้นอย่างควรกังวล
วานนี้ (๑๑ กุมภา) นี่เอง แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ออกแถลงการณ์กรณีศาลไม่ยอมให้ประกันตัวแกนนำคณะราษฎร ๖๓ สี่คน “ส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพระหว่างรอการพิจารณาคดี” ว่าเป็นการ “ใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมโดยมิชอบ
เพื่อปิดปากไม่ให้บุคคลวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและปัญหาสังคม และเป็นส่วนหนึ่งในการยืนยันถึงรูปแบบการคุมขังอย่างยาวนานก่อนพิจารณาคดีของผู้ถูกกล่าวหาในคดีตามมาตรา ๑๑๒ ภายใต้บริบทของความมั่นคงของรัฐ”
อันขัดกับพันธะกรณีเกี่ยวกับการใช้สิทธิของบุคคลโดยพื้นฐาน “ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งทางการไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้” และนำไประบุในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
ข้อสำคัญรัฐบาลไทยในขณะนี้ยังปล่อยให้เอกชน ฝ่ายที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร และห้อยโหนสถาบันกษัตริย์ นำเอามาใช้ข่มขู่ ก้าวร้าวผู้เรียกร้องการปรับเปลี่ยนครรลองของชาติไปทางประชาธิปไตย และยกหางตนเอง
เจ้าของกิจการสถานพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งอ้างตนเป็นผู้พิทักษ์กษัตริย์และราชวงศ์ ด้วยการก่นด่าและออกอาการนักเลงใส่บรรดานักกิจกรรมประชาธิปไตย มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แจ่มแจ้งในความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ที่นักกิจกรรมหลายคนโดนกล่าวหาหลายกรณี
แต่ เหรียญทอง แน่นหนา ก็ยังสามารถทำผิดซึ่งหน้าอย่างลอยนวลจนกระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อ ๑๑ ก.พ.๖๔ เวลา ๑๒.๕๖ น.ที่เขาโพสต์ท้า “ใครก็ตามที่คิดว่าผมหมิ่นศาล ก็ให้ไปฟ้อง” เรื่องที่เขาประกาศจัดการกับ “ตุลาการตัวไหน” ที่เป็น “แนวร่วมอริราชศัตรู”
ข้อความเหล่านั้น (ดูภาพ) ไม่ได้ดูหมิ่นให้ร้ายใครคนใดคนหนึ่งโดยเจาะจง ในแง่กฎหมาย เขาเจ้าเล่ห์พอที่จะใช้ข้อความกำกวมในการก่นด่า แต่ใช้บางคำที่ทำให้ดูเด่น เช่น พสกนิกรรักษาพระองค์ ยกตนขึ้นไปไต่ระดับ ‘เจ้า’ จนหลงกลได้ง่าย
แต่ว่าโดยรวมทั้งโพสต์กลับเป็นการดึงเจ้าลงไปเกลือกกลั้วอาจมแห่งตน หากเป็นสมัยที่กษัตริย์องค์นี้ยังเป็นมกุฏราชกุมารละก็ โมเดลหมอยอง-ปากรม-พิสิฐศักดิ์ อาจปรากฏ
(https://www.facebook.com/charnvit.ks/posts/4288264421187952, https://www.blockdit.com/posts/6025fdd42433d5090ad90f90 และ https://www.matichon.co.th/foreign/news_2574693)