ถุย “บิ๊กตู่สั่งแจงเรื่องจริง ศก.ไทย ยันกู้เงินน้อยกว่ารัฐบาลก่อนหน้า และหนี้ครัวเรือนสูงตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ” นี่แค่ประเด็นเดียวที่โดนถล่ม เป็น “จอมตอแหล” ในเมื่อ ‘ว้อยซ์’ ทำกร๊าฟฟิคออกมาสวนทันควัน หนี้ประยุทธ์มากกว่ายิ่งลักษณ์สามเท่า
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นี่ ‘เสียหะมา’ เพราะเห่อเป็นรองนายกฯ และ รมว.พลังงานยุค ‘ไอทู้บ’ นายสั่งให้ออกมาร่ายยาวเรื่องเศรษฐกิจ “ไม่ได้แย่อย่างที่อภิปรายกันในสภา” ด้วยการเอาเลขบางตัวมาบิดอธิบายให้ดูดีกว่าที่นายเองยังคิดไม่ถึง (‘เต่าตู่’ ไง)
ข้อแรก “จนกระทั่งเดือน ธ.ค. มีการระบาดระลอกใหม่ ดัชนีบางตัวก็ยังดีกว่าเดือน เม.ย.” ใครก็พูดได้แบบนี้ “ปี ๖๓ เราติดลบ ๖.๑% แต่ถ้าติดตามข้อมูลมาตั้งแต่ต้นปี หลายสถาบันเห็นว่าไทยจะติดลบ ๑๐ %, ๘.๕% บ้าง” ที่ไม่หนักอย่างเขาคาด ไม่ใช่ดีเสมอไปนะทั่น
เรื่องว่างงานเอาเปอร์เซ็นต์มาอ้าง ๑.๙% ตัวเลขจริงเท่าไหร่ไม่ยอมบอก แต่รายหัวที่เขาเห็นกัน ๑๐ ล้านคนของแรงงาน มันต้องมากกว่า ๒% แน่ๆ แล้วที่ยก ‘มูดี้’ กับ ‘เอสแอนด์พี’ บอกว่าดีดี ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะตามเสมอไป
ควบคุมโควิดได้ดีก็เรื่องหนึ่ง นั่นอาจจะดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับได้บ้าง (แต่ไม่รู้นะเมื่อไหร่มา) สำหรับประเทศตะวันตกเขาเบื่อความไร้สาระของราชการไทย ไม่มีใครอยากไปกะลาแลนด์กันแล้ว ไปสิงคโปร์ เวียดนาม แม้แต่ลาวยังดีกว่า
หนี้สาธารณะที่เวลานี้กว่า ๕๒% น่ะเยอะเสียจนไม่รู้จะเยอะยังไง แต่ทั่นพันธุ์มีเชาว์ (๘ หมื่น ๔ พันเซลส์สมอง) เอาตัวเลขกลมๆ มาถุยว่าตอนไอทู้บเข้ามามี ๕.๕ ล้านล้าน สิ้นปีที่แล้วขึ้นเป็น ๘.๑ ล้านล้าน เพิ่มเกือบ ๓ ล้านล้าน ดันบอก “กู้น้อยกว่า” ยิ่งลักษณ์
หนี้ครัวเรือนก็เหมือนกัน เถาสุพัฒน์ว่าตอนยึดอำนาจเข้ามาปี ๕๗ ประมาณ ๘๐% “พยายามรักษาไว้” หมายถึงประคองไม่ให้หนักไปกว่านั้น ก็ยังไม่ยอมเชื่อกัน ลงไปเป็น ๘๖% บอกว่า “เราพยายามบริหารจัดการให้เป็นหนี้มีคุณภาพ” จะบ้าตาย
เกี่ยวกับอาการตระหนกธุรกิจย่อยกลัวแบ๊งค์จะล้ม ทั่นฟันธงไม่มีทาง “ต้องถือว่าสถาบันการเงินเข้มแข็งมาก” ไม่เถียง แต่นั่นไม่ใช่ฝือมือของคุณ ชอบตกกระไดพลอยโจนเอาแต่ของดีดี กระทั่งผลงาน ‘ทักกี้’ ก็ยังเอาไปเคลมแล้วบ่อยเลย
ด้าน “ธุรกิจปิดกิจการ” บอกว่ารัฐบาลตู่ปรับโครงสร้างให้ “มีการจัดตั้งใหม่ ๖ หมื่นกว่าราย เช็คเด้งน้อยลง ๒๓%” เฮ้ย น้อยลงเพราะไม่มีเช็คจะเซ็นแล้วน่ะสิ ส่วน ‘บีโอไอ’ “มีผู้ขอมากกว่าปี ๖๒” แล้วตอนปี ๖๒ มันตกต่ำกว่าปี ๕๖ เท่าไหร่ ละไว้ในฐานที่ประชากรไม่ค่อยเข้าใจ
ลองฟังเสียงบ่นจากรากหญ้าเสียบ้าง จะได้เป็นผู้เป็นมากกว่าเทวดา “ภาคธุรกิจกำลังจะตาย ถูกโยนลงน้ำโดยไม่เหลือให้แม้แต่ตัวช่วยเดียว พอพยายามดิ้นรนก็ถูกสั่งเบรค เหมือนพยายามทำอย่างไรก็ได้ให้ตายแบบไม่ยอมให้มีทางรอด” (@JoeChonlawit)
สุดท้าย ประเทศไทยไม่ได้เหลื่อมล้ำมากที่สุดอย่างฝ่ายค้านว่า เจ้าสัว ๑% ของทั้งประเทศ และบนปลายยอดกลุ่มนี้เป็นของทรัพย์สินส่วนองค์ซะ ๑ ล้านล้านกว่า ขณะที่พสกนิกรสโมสรสมมุติตั้งแต่ชั้นกลางลงไปล่างสุด เฉลี่ยไม่ถึง ๑๐ ล้าน
ดังนั้นได้โปรด อย่าถ่มมากนัก เดี๋ยวคอแห้งต้องอมแฮ้ค มาดูข้อเท็จจริงจะจะ ฉะเพาะวันนี้มีข่าว “จีนรุกชุมพร ตั้งโรงงานปลุกทุเรียน (เพื่อแปรรูป) ๔ หมื่นไร่” ส่งกลับไปบริโภคบนแผ่นดินใหญ่ ไม่ต้องคอยซื้อจากไทยให้เรื่องมากและสิ้นเปลือง
เนื้อข่าว ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ว่า “ช่วงที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักลงทุนที่เป็นล้งจีนได้เข้ามาลงทุนธุรกิจทุเรียนในจังหวัดชุมพรจำนวนมาก ทั้งลงทุนทำสวนทุเรียน ลงทุนโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปทุเรียน” เพราะจีนซื้อทุเรียนไทยกินมากสุด
แต่ปีสองปีนี้แนวโน้มเปลี่ยนไป ไม่ใช่ลดการบริโภคนะ และไม่ใช่ลดปริมาณซื้อด้วย แค่เปลี่ยนที่ซื้อไปจากไทย แล้วยังวางแผนปลูกเองในแถวนี้ เอเซียอาคเนย์ ‘อาเซียน’ นี่แหละ อีกข่าวว่า “ลาวเผยทุนจีนขอสัมปทานที่ดิน ๒-๓ หมื่นไร่ ปลูกทุเรียนส่งออกไปแดนมังกร”
ตามข้อมูลของ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ “ช่วง ๖ เดือนแรกของปี ๒๕๖๓ มูลค่าการนำเข้าทุเรียนจากต่างประเทศของจีนสูงถึง ๑.๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗๓ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่นำเข้าจากไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์”
แต่ว่า “ในอนาคตคาดว่า สปป.ลาว และเวียดนามจะส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศเช่นกัน โดยมีจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกรองรับ” เนื่องจากลาวเดินนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเชิงรุกอย่างได้ผล “มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ”
สรุปว่า “ซึ่งในอนาคตอาจจะกระทบกับการส่งออกสินค้าเกษตรจากไทยหลาย ๆ รายการ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล้วย ทุเรียน พืชผักทางการเกษตร”
(https://www.thansettakij.com/content/world/469544YU, https://www.prachachat.net/local-economy/news-616673 และ https://www.prachachat.net/local-economy/news-616673)