วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 23, 2564

"สำหรับแม่ เพนกวิ้น คือ ชีวิต ของแม่ แม่เคยคิดว่า ถ้าไม่มีเพนกวิ้น ที่ที่แม่ต้องไปอยู่ อาจจะเป็นโรงพยาบาลบ้า หรือ เมรุ แม่คงเป็นบ้า หรือ ต้องตายไปแน่ๆ ดั้งนั้นแม่จะเสียใจ ถ้าแม่ไม่ทำอะไรเลย" ชมสัมภาษณ์แม่เพนกวิ้น จาก The Reporter



The Reporters
13h ·

SPECIAL: เปิดใจแม่เพนกวิ้น ขอยืนเคียงข้างลูก ร่วมเดินเรียกร้องปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง รับหัวใจแม่เจ็บปวด เพราะลูกคือชีวิต หวังได้รับความยุติธรรม ขอโอกาสลูกได้กลับมาเรียนหนังสือ เผยตัวตนเพนกวิ้น เป็นเด็กคนหนึ่งที่รักความมีเหตุผล และฝันอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคม
 
"มาเดินร่วมกับไผ่ และเพื่อนๆ 2 วัน ก็มีเจ็บขาบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่แม่รู้สึกทรมานน้อยกว่าที่ลูกเป็นอยู่ข้างในคุก เพราะทุกครั้งที่เดินมักจะปวดง่าย เพราะการออกกำลังกาย สำหรับเราจะเป็นศูนย์หรือติดลบ แต่เวลาที่เจ็บเท้า ทรมาน ก็จะคิดถึงลูกตลอดว่าเขาทรมานกว่าเรา ต้องอดทนให้ได้และการเดินไม่ได้ยากหรือสาหัสขนาดนั้น เดินยังพอไหวแต่ขออย่าได้นั่งเพราะลุกขึ้นมาจะยิ่งเจ็บ"

แม่สุ สุรีรัตน์ ชิวารักษ์ เปิดใจครั้งแรกกับ The Reporters ถึงการตัดสินใจร่วมเดินทะลุฟ้า กับกลุ่มราษฎร เพื่อร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง ที่รวมถึง เพนกวิ้น พริษฐ์​ ชิวารักษ์ ลูกชายของเธอ

"ทนายที่ได้เข้าเยี่ยมเพนวกวิ้น มาบอกแม่ หลังถูกฝากขัง เพนกวิ้นฝากมาบอกแม่ว่า เสียดายที่ไม่ได้ลากัน ครั้งนี้คงติดคุกอีกนาน รักแม่นะ"

นางสุรีรัตน์ ยอมรับว่า เมื่อได้ฟังคำนี้รู้สึกขยี้ใจแทบจะกองอยู่ตรงนั้น มันไม่มีระยะเวลาเลยว่าเมื่อไหร่ลูกจะออกจากคุก มีความหวังหรือไม่ ยิ่งไปอุทธรณ์หรือประกันตัวแล้วก็ไม่ได้สักที อีกกี่ปีจะได้ออกมา เลยอยากจะทำยังไงเพื่อให้ลูกออกมา ก็ไปเห็นไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษาเดินรณรงค์ ลูกน่าจะเห็นด้วยกับการกระทำแบบสันติวิธี แสดงให้ภาครัฐหรือผู้มีอำนาจได้เห็นว่า แม่คนหนึ่งเขาก็รักลูกเหมือนกัน อยากให้ลูกมีอนาคต อยากให้ออกมาอยู่ข้างนอก ถ้าจะถูกหรือผิดก็ว่ากันตามกระบวนยุติธรรมข้างนอกเพื่อให้เด็กมีโอกาสไม่ว่าจะเป็น เพนกวิ้น พริษฐ์ ชิวารักษ์ ทนายอานนท์ อำภา หมอลำแบงค์ ปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งเป็นที่รักของครอบครัวพวกเขาทุกคนก็อยากให้ทั้ง 4 คนออกมา
 
"เพนกวิ้นติดตรงเรียนยังไม่จบ ก็เลยกังวลเรื่องการเรียนเพราะอยากให้เขาเรียนจบ เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนเป็นห่วงเรื่องนี้ มันตายตาไม่หลับ อย่างน้อยถ้าลูกเรียนจบก็จะสามารถเอาความรู้ไปใช้ในชีวิต ตั้งต้นชีวิตหรือดูแลเขา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติอันไหนจะเร็วกว่ากัน เผลอ ๆ อาจเสียชีวิตไปก่อนแต่ก็มั่นใจว่าลูกจะสามารถหาเลี้ยงชีพและดูแลตนเองได้จึงทำให้กังวลในเรื่องนี้อยู่"

แม่สุ เปิดเผยว่า ก่อนที่จะมาร่วมกิจกรรมแม่ไม่ได้หลับเลย ทำให้รู้จักกับคำว่า “สว่างคาตา” นอนแบบไม่ได้หลับตาจนถึงเช้า ลยตัดสินใจว่า ต้องทำอะไรเพื่อลูกสักอย่างเพื่อทำให้ลูกออกมา จึงตัดสินใจออกมาเดินเพราะเป็นสันติวิธีที่สุดและเป็นสิ่งที่เพนกวิ้นพยายามที่จะทำ คนก็ถามตลอดทางว่า เจ็บไหม ปวดไหม ไหวไหม แม่ก็บอกว่า “ไหว ไม่ไหวก็ต้อง”ไหว เพราะในคุกลูกลำบากกว่านี้เยอะมาก แค่นี้เราก็ต้องทำเพื่อให้เหนกวิ้นออกมา ยิ่งเมื่อวานทนายโทรมาตอนพักทานข้าวมันยิ่งขยี้ใจ
 
ทนายถามเพนกวิ้นว่าอยากเจอใครมากที่สุด เพนกวิ้นก็ตอบว่าอยากเจอแม่มากที่สุด อยากกอดแม่ จำได้เลยว่าอได้ฟังตอนพักทานข้าวมันขยี้ใจมาก อีกทั้งเป็นลูกที่เรารัก เป็นเด็กดี ไม่เคยสร้างปัญหาให้เราตั้งแต่เล็กจนถึงบัดนี้ คิดว่าเขาเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ เขามีความหวังดีกับสังคม เขาอยากจะช่วยสังคมที่เขาอยู่และเปลี่ยนแปลงมัน อย่างที่บอกไปว่า เพนกวิ้นคุยกับแม่เรื่องนี้ตั้งแต่เด็กว่า “เพนกวิ้นเกิดมาชาตินึง ถ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น เพนกวิ้นคงเสียชาติเกิด” ซึ่งตอนนั้นมันก็ยังเด็กเลยคิดว่า ก่อนเปลี่ยนแปลงสังคมช่วยเปลี่ยนแปลงบ้าน ช่วยแม่จัดบ้านก่อนดีไหม เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงหรือมุ่งมั่นจริง ๆ

“แม่ถามน้องว่า ถ้าจะหาวิธีช่วยพี่พีท (ชื่อเพนกวิ้นที่แม่เรียก) แต่มันจะต้องกระทบเหมือนครั้งที่แล้วหรืออาจหนักกว่าเดิม คือ มันไม่เหลืออะไร จะโอเคกันไหม น้องพอยต์บอกว่า โอเค อย่างมากก็ขายบ้านไปหาห้องเล็ก ๆ อยู่กัน จากนั้นก็บอกคนในบ้าน จริง ๆ แล้วลูกเป็นห่วงแม่มากและถามแม่ว่า “แม่พร้อมหรือยัง จะมีคนด่าเยอะมาก แม่จะรับได้ไหม ขนาดครั้งที่แล้วแม่โดนด่าทางไลน์กลุ่ม ยังเศร้าไปหลายวันเลย”
 
นางสุรีรันต์ เปิดเผยว่า ตอนไปเยี่ยมก็ฝากทนายไปว่า “แม่จะออกมานะ แม่จะออกมาช่วยลูก จะออกมาเดินกับพี่ไผ่” เพนกวิ้นก็บอกว่าโอเค รอแม่พร้อม เพราะคนที่ได้รับผลกระทบ คือ แม่ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถออกมาช่วยได้ พอออกจากเรือนจำก็รีบเก็บเสื้อผ้าทันที ก็ส่งข้อความไปบอกพ่อ บอกพอยต์ทันที
 
ซึ่งรู้สึกดีอยู่อย่างนึง คือ อย่างน้อยเราได้สู้แล้ว ได้พยายามทุกวิธีทางเพื่อลูกแล้ว วันนึงเพนกวิ้นจะได้เห็นว่าครอบครัวสู้เพื่อเขา ไม่รู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันไหนที่ลูกได้ออกมา แต่มันก็คงต้องมีสักวัน แต่ถ้าแม่ไม่ได้อยู่ ลูกก็จะเห็นว่าแม่ช่วยเขาและรู้สึกว่าตายตาหลับบ้าง

"แม่มีความรู้สึกว่า ถ้าออกมาแสดงว่าเป็นแม่ที่ออกมาช่วยเหลือ คนอื่นยังออกมาช่วยเดิน เรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเรา เราเป็นแม่แท้ ๆ แล้วเหตุไฉนทำไมถึงไม่ออกมา ถ้าวิธีนี้ช่วยลูกได้ก็จะทำ ท่านทั้งหลายถ้าได้เห็นหรือได้รับรู้แล้วอาจจะมีเมตตา ไม่รู้ว่าคือมนุษยธรรมหรืออะไรสักอย่าง
 
แม่เป็นห่วงว่าเขาต้องมีอนาคต เด็กต้องเรียนหนังสือ ถ้าไม่ได้เรียนแล้วจะทำอะไรต่อในอนาคต เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนจะคิดเหมือนกันว่า ถ้าลูกเรียนไม่จบพ่อแม่ตายตาไม่หลับ อยากให้คิดเรื่องนั้น เรื่องบางเรื่องก็ออกมาคุยข้างนอกได้ ให้โอกาสได้ มันไม่ได้หนักหนาสาหัส ลองคิดดูดี ๆ อยากให้คิดในมุมของเราด้วยว่าเด็กจะคิดผิดหรือเปล่า แม่มีความรู้สึกว่าเด็กก็คือเด็ก เราไม่ได้ดูถูกความคิดเขาแต่คิดว่าถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากกว่า ทำไมเราไม่คู่ขนาน อันนี้คือความคิดส่วนตัวของแม่" แม่สุกล่าว

"สำหรับแม่ เพนกวิ้น คือ ชีวิต ของแม่ แม่เคยคิดว่า ถ้าไม่มีเพนกวิ้น ที่ที่แม่ต้องไปอยู่ อาจจะเป็นโรงพยาบาลบ้า หรือ เมรุ แม่คงเป็นบ้า หรือ ต้องตายไปแน่ๆ ดั้งนั้นแม่จะเสียใจ ถ้าแม่ไม่ทำอะไรเลย"

นี่คือความรู้สึกของแม่คนหนึ่ง ที่ตัดสินใจออกมาร่วมเรียกร้องเพื่อลูก และผู้ถูกคุมขังทางการเมือง และคาดหวังว่าลูกจะได้รับโอกาสได้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง เพื่อให้สังคมได้ถกเถียง พูดคุยถึงสิ่งที่มีการเรียกร้อง หาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี
 
ติดตามชมสัมภาษณ์แม่เพนกวิ้น