วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 20, 2564

เปิดเอกสาร #ตั๋วช้าง ที่โรมถูกห้ามไม่ให้พูดในสภา ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรมาก โหลดอ่านเอง




พรรคก้าวไกล - Move Forward Party
·
49:4
เปิดเอกสาร #ตั๋วช้าง ที่โรมถูกห้ามไม่ให้พูดในสภา
ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรมาก โหลดอ่านเอง https://tinyurl.com/Tuachang

พรรคก้าวไกล - Move Forward Party ·
51:57
เปิดเอกสารราชเลขาฯ ให้โอนย้ายตำรวจหน่วยก้านดีเข้าหน่วย 904 มี 100 คนถูกซ่อมธำรงวินัย 9 เดือน - ดองตำแหน่ง เพียงเพราะ "ขัดคำสั่ง" https://www.facebook.com/.../a.104388194.../263689835263044/



พรรคก้าวไกล - Move Forward Party
16h ·

[ เปิดเอกสารราชเลขาฯ ให้โอนย้ายตำรวจหน่วยก้านดีเข้าหน่วย 904 มี 100 คนถูกซ่อมธำรงวินัย 9 เดือน - ดองตำแหน่ง เพียงเพราะ "ขัดคำสั่ง" ]
.
ถึงตรงนี้ชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตร ปล่อยปละละเลยให้กลุ่มบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดเบื้องสูงกลุ่มหนึ่ง เข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งตำรวจ หรือท่านอาจจะรับรู้อยู่แก่ใจก็เป็นได้ แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรยังปล่อยให้คนกลุ่มเดียวกันมีอำนาจสั่งการผบ.ตร.ให้โอนย้ายตำรวจจำนวนมากไปอยู่ในหน่วยงานนอกสังกัดตร. อีกด้วย
.
เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 มีหนังสือจากสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ ลงนามโดย พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ส่งถึง ผบ.ตร. ความว่า “ด้วยกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จะดำเนินการคัดเลือกนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มาบรรจุลงใน กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904” จึงขอให้ สตช. ดำเนินการต่างๆ ตามที่ระบุไว้
.
ปัญหาคือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ เป็นบุคคลที่อยู่นอก สตช.
.
กองบัญชาการทหารมหาดเล็กฯ ที่ว่าจะมาดำเนินการคัดเลือกนายตำรวจ ก็เป็นส่วนราชการในพระองค์ มีผู้บัญชาการคือ พล.อ.จักรภพ ภูริเดช ไม่ได้เป็นหหน่วยงานที่อยู่ใน สตช.
.
แต่กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 เป็นหน่วยงานที่อยู่ใน สตช. อยู่ใต้สังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลาง ผู้บังคับการในขณะนั้นก็คือ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ที่ทำหนังสือขึ้นมา
.
คำถามคือแล้วเหตุใด การคัดเลือกตำรวจไปบรรจุในหน่วยงานของ สตช. เอง ที่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ ผบ.ตร. หรือ ก.ตร. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรนั่งอยู่ ต้องพิจารณากันเอง เหตุใดจึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานภายนอกเข้ามาดำเนินการคัดเลือกให้ได้? เหตุใดจึงเป็นเรื่องที่คนนอกอย่าง พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์มาทำหนังสือในลักษณะสั่งการได้? ทำราวกับว่านี่คือพี่น้องเล่นขายของกัน?
.
แต่ถึงแม้ว่าจะงงๆ กันแบบนี้ สตช. แทนที่จะคัดค้านว่าไปไม่ใช่หน้าที่ของคนสั่ง ก็ยังไปรับลูกต่อ โดย พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ขณะนั้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ก็ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยตรวจสอบกำลังพล แล้วส่งตัวไปคัดเลือก กำหนดคุณสมบัติว่าต้องมีบุคลิกภาพดี สูง 170 - 180 ซม. ขาไม่โก่ง ไม่ผอมกะหร่อง ไหล่ไม่เอียง ไม่สวมแว่นตา ไม่มีภาระทางครอบครัว ไม่มีภาระหนี้สิน โดยที่ก็ไม่ได้ชี้แจงเลยว่าจะคัดเลือกไปทำอะไร บอกแค่สั้นๆ ว่า “สำหรับปฏิบัติภารกิจที่ ตร.จะมอบหมาย”
.
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งจาก พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. เช่นกัน สั่งว่าตำรวจคนไหนไม่เข้ารับการคัดเลือก ก็ให้ตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องชัดเจน แปลกนะถ้าตำรวจบางคนเขาจะสละสิทธิ ทำไมต้องไปทำประวัติเขาด้วย?
.
พอปลายเดือนมีนาคม เริ่มที่งงๆ อยู่แล้ว ก็เริ่มงงมากขึ้นไปอีก เมื่อ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ส่งหนังสือมาอีกฉบับเพื่อแจ้งวันคัดเลือกรอบที่ 2 แต่คราวนี้บอกว่าที่คัดเลือกมานี้ จะแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งใน “หน่วยตำรวจมหาดเล็กฯ” ครับ ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเป็นหน่วยเดียวกันกับ “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กฯ” ของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์หรือเปล่า? เพราะถ้าใช่แล้วทำไมไม่ใช้คำให้ตรงกันล่ะ? แล้วถ้าไม่ใช่ แล้วนี่มันคือหน่วยไหน?
.
แต่ สตช. ก็ยังจัดการคัดเลือกรอบที่ 2 ต่อในต้นเดือนเมษายน ในครั้งนั้น กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ยังรับงานจัดหาวิทยากรจิตอาสา 904 มาคอยควบคุม และจัดระเบียบนายตำรวจที่ไปรายงานตัว ซึ่งวิทยากรเหล่านี้ก็มาจากโครงการที่ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์, พล.อ.จักรภพ และ พล.อ.ฐิติราช กลุ่มเดิมนี้คุมอยู่นั่นเอง
.
หลังคัดเลือกเสร็จ ก็มีหนังสือภายใน สตช. รายงาน ผบ.ตร. ว่าจะส่งตำรวจที่ผ่านทั้งหมด 1,319 นายไปฝึกต่อที่ศูนย์ฝึกตำรวจศาลายา แต่คราวนี้ระบุว่าจะให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็น “ข้าราชบริพาร” จากที่ยังเป็นตำรวจใน สตช. อยู่ๆ ก็จะกลายไปเป็นข้าราชการประเภทอื่นแล้วหรือไม่? อย่างไร? ก็ไม่รู้
.
เท่านั้นไม่พอ ยังมีการตรวจเช็คด้วยว่านายตำรวจที่ติดปัญหาส่วนตัว มีตำรวจ 66 นายที่กรรมการตรวจสอบชี้ว่า ขาดภาวะผู้นำ เป็นแบบอย่างที่ดีไม่ได้ เลยให้ส่งไป “ปรับทัศนคติ” โดย ผบ.ตร. ลงนามสั่งเรียบร้อย ก็ถ้าคำสั่งมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันผิดหรือครับที่ผู้ถูกสั่งเขาจะไม่พร้อม? อันที่จริงควรขอโทษพวกเขาด้วยซ้ำ แต่นี่ยังจะไปลงโทษอีก
.
มาถึงขนาดนี้ งงกันมา 3 รอบแล้ว สตช. ก็ยังเปิดศูนย์ฝึกศาลายาของตัวเองให้ดำเนินโครงการนี้ต่อไป จนได้ผู้ผ่านการฝึกทั้งหมด 873 คน
.
และในปลายเดือนกันยายน ก็มีหนังสือภายใน สตช. คราวนี้รายงานว่าจะส่งผู้ผ่านการฝึกไป “ช่วยราชการ” ในหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยในพระองค์ ในหลักสูตร “ตำรวจราบในพระองค์” เรียกได้ว่าคัดแล้วคัดอีก ฝึกแล้วฝึกอีก
.
ถึงตรงนี้ งงพอหรือยัง? ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา มีคนที่ไม่ใช่ตำรวจมาสั่งให้ สตช. เอาคนของตัวเองไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ วันก่อนสั่งมาอย่างหนึ่ง พอวันหลังก็เปลี่ยนใจไปสั่งอีกอย่าง ไปๆ มาๆ จะจับไปอยู่นอกวงการตำรวจกันหน้าตาเฉย โดยที่ระดับบนๆ ของ สตช. ก็รับลูกตามทุกอย่าง ไม่หือไม่อือเลยแม้แต่น้อย สร้างความสับสนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชานับพันนาย
.
และเรื่องแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรที่คุมตำรวจอยู่ตลอดช่วงเวลาที่กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้น ตามหน้าที่จะต้องลงมาดูตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเกิดความสับสนอลหม่านแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร แต่ผลปรากฏว่าหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ทั้งสองคน
.
ความคลุมเครือและสับสนที่เกิดขึ้น ทำให้ถึงจุดนี้ มีตำรวจอีก 100 นายไม่ประสงค์ที่จะเข้ารับการฝึกตำรวจราบในพระองค์ เพื่อปรับโอนย้ายไปอยู่ในหน่วยงานที่พวกเขาไม่รู้จัก เพราะผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดขึ้นหากมีการย้ายสังกัด นั่นคือพวกจะต้องหลุดออกจากเส้นทางการเติบโตในอาชีพตำรวจตามโครงสร้างปรกติ จากที่ยังพอคาดหมายได้ว่าอนาคตจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นตำแหน่งอะไรได้ในเวลากี่ปีๆ ผ่านการดูกฎ ก.ตร. ฉบับต่างๆ สามารถวางเป้าหมายในชีวิตได้ ก็กลายเป็นต้องเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าต้องไปเริ่มต้น ณ จุดไหน ปลายทางคืออะไร และต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์เช่นใด
.
ซึ่งเรื่องมันก็ควรจะจบลงที่ตรงนี้ เมื่อทั้ง 100 คนไม่ขอรับตำแหน่ง พวกเขาก็ควรกลับไปทำงานที่เดิม แต่ที่มันไม่จบ ก็เพราะปรากฏว่า สตช. ได้มีคำสั่งแต่ง ลงนามโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ตั้งคณะทำงานดำเนินโครงการฝึกอบรมธำรงวินัยตำรวจ และให้นายตำรวจทั้ง 100 คนนั้น ไปเข้ารับการ “ธำรงวินัย” หรือการลงโทษ เป็นระยะเวลานานถึง 9 เดือน
.
ลองดูเอกสารนะครับ จะทำโทษกันทั้งที ต้องทำเป็นโครงการ ตั้งงบประมาณโดยมีวงเงินรวมกว่า 12 ล้านบาท ภาษีประชาชน 12 ล้านบาท จ่ายไปเพียงเพื่อลงโทษตำรวจที่ไม่สมัครใจร่วมโครงการงงๆ ที่สั่งมาจากคนนอก สตช.
.
ท่านประธานครับ พอคำสั่งธำรงวินัยออกมา มีตำรวจ 3 นาย ลาออกทันทีเพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่พวกเขาต้องประสบพบเจอ
.
ส่วนอีก 97 นายก็ถูกส่งไปธำรงวินัย เท่าที่ทราบจากตำรวจที่ถูกลงโทษ ปรากฏว่า เดือนที่ 1 พวกเขาถูกส่งตัวไปที่ จ.ยะลา สัปดาห์แรกต้องเข้าป่า ห้ามอาบน้ำ บางวันห้ามกินข้าว สัปดาห์ต่อๆ มา ก็เป็นการฝึกท่ามือเปล่า ท่าพระราชทานกลางแดดร้อน ฝึกราวกับพวกเขาเป็นคนไร้ระเบียบวินัย ทั้งๆ ที่พวกเขาก็อยู่ใน 873 คนที่ผ่านการฝึกมา การันตีแล้วว่ามีวินัยสูง
.
และอีก 8 เดือนที่เหลือก็ถูกส่งตัวมาฝึกต่อที่ศูนย์ฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจกลาง หนองสาหร่าย จ.นครราชสีมา
.
รวมระยะเวลา 9 เดือน ที่ตำรวจ 97 นายนี้ หายไปจาก สน. หายไปจากท้องที่ หายไปจากงานที่ตัวเองเคยรับผิดชอบ ต้องห่างพ่อห่างแม่ ไกลจากลูกเมีย ส่งผลกระทบเกิดเป็นความเสียหายทั้งต่อราชการ และต่อชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนายตำรวจเหล่านี้ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรก็ยังหายหัวไปไหนก็ไม่รู้
.
และไม่ใช่ว่าธำรงวินัยเสร็จสิ้นครบ 9 เดือนแล้วเรื่องมันจะจบ เพราะภายหลังจากที่ตำรวจทั้ง 97 นายได้กลับมาจากการฝึก แทนที่จะให้พวกเขากลับมาทำงานตามปรกติ ได้เติบโตกันไปตามหลักเกณฑ์ในกฎ ก.ตร. ตามลำดับอาวุโสของแต่ละคน พวกเขากลับถูกดองไม่ให้โต ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้รับการมอบหมายงานที่จะได้แสดงความสามารถ ได้ทำแต่งานอำนวยการ งานธุรการ
——
อ่านเอกสารเต็มกรณีดังกล่าวได้ที่ https://tinyurl.com/transfer904