“เล็บกู ผมกู ร่างกายกู แต่ไปหนักหัวครู” ประโยคนี้ที่ปรากฏบนแผ่นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ขึงบนแผงเหล็กหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในการรณรงค์ #๑ ธันวา บอกลาเครื่องแบบ เป็นแก่นแข็งแห่งสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในทางประชาธิปไตย
สำคัญหลายเท่ายิ่งกว่า ‘หน้าที่’ ‘ทีมเวิร์ค’ ‘ระเบียบ’ หรือ “ความสบายใจของผู้ปกครอง” ดังที่ผู้บริหารการศึกษาของชาติสองคนแสดงความเห็น ต่อการที่กระทรวงศึกษาธิการวางนโยบายให้โรงเรียนต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรออกกฏระเบียบกำกับ
อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ ‘กพฐ.’ บอกว่าการรณรงค์ แต่งชุดไพรเวทของนักเรียนเครือข่ายกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ กว่า ๒๐ แห่งในวันนี้ “ต้องว่ากันไปตามกฎระเบียบของโรงเรียน...เพราะการปฏิบัติตามกฎระเบียบคือการสร้างวินัยอย่างหนึ่ง”
อย่างไรก็ดีเลขาฯ กพฐ.บอกด้วยว่าถ้าจะมีนักเรียนไม่แต่งเครื่องแบบไปเรียนวันนี้ ก็ไม่เป็นไร “จะห้ามไม่ให้เด็กเข้าเรียนคงไม่ได้แน่นอน...ต้องดูที่เจตนาของนักเรียนด้วยว่าสาเหตุใดถึงแต่งชุดไปรเวทมาโรงเรียน” แล้วว่ากันไปตามกฏระเบียบของแต่ละแห่ง
ว่าไป ทั่นเลขาฯ นี่ยังพูดพอฟังได้มากกว่า รมว.ศึกษาธิการ กระนั้นข้ออ้างต่างๆ ว่าเครื่องแบบดีกว่าแต่งกายตามสบาย “หากแต่งชุดนักเรียนขึ้นรถโดยสารก็ได้ลดราคา” อันนี้โบราณไปหน่อย เพราะการลดราคาค่าโดยสารมันมาทีหลังการแต่งชุดนักเรียน
อีกอย่างที่ทั่นเลขาฯ ว่าเรื่องแต่งเครื่องแบบแล้วเวลาเกิดอุบัติเหตุ “จะรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นนักเรียนที่โรงเรียนไหน” นี่เสล่อไปหน่อยมั้ย เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่ควรอยากรู้ว่าชื่อเรียงเสียงไร และลูกเต้าเหล่าใครก่อน จะดีกว่านะ
ส่วนที่ทั่นเลขาฯ อ้างว่าเวลานักเรียนใส่เครื่องแบบเหมือนกันหมดแล้ว ทำให้ระลึกถึงหน้าที่ เปรียบเทียบว่าสาวโรงงานชอบใส่ยูนิฟอร์ม เนื่องจากได้ทำงานเป็นทีม ไม่ใช่มั้ง น่าจะเพราะถ้าไม่ใส่เขาไม่ให้งานมากกว่า หรือแบบไอ้เณรทหารเกณฑ์และนักโทษเรือนจำต้องใส่
ซึ่ง ณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแจงว่า “หากแต่งชุดอื่นมาโรงเรียนถือว่าผิดระเบียบ...แต่ยังไม่มีการแก้ไขระเบียบ รวมถึงเรื่องทรงผมด้วย ยังต้องรอความเห็นจากคณะครู และผู้บริหารโรงเรียนก่อนว่าสามารถทำได้หรือไม่”
รัฐมนตรี อดีต กปปส.คนนี้ เสริมว่า “จะให้นักเรียนแต่งชุดไพรเวทมาเรียนทั้งประเทศไม่ได้ เพราะอาจสร้างปัญหาให้กับครูและผู้ปกครอง ว่าชุดที่นักเรียนใส่มีความเหมาะสมแล้วหรือไม่ เพราะชุดอาจจะโป๊หรือไม่เหมาะสม”
เรื่องนั้นก็ ‘ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง’ น่ะสิ ถ้าเด็กแต่ง ‘คร็อปท้อป’ ไปโรงเรียนแล้วบอกว่าเอาอย่างสัญญลักษณ์ของชาติล่ะ ครูจะว่าไง บอกให้ไปแต่งแบบนั้นที่เยอรมนีหรือ ส่วนที่ณัฏฐพลว่า “ไม่โทษเด็ก...แต่แกนนำคนที่คิดเรื่องนี้ใจร้าย”
มันจะไม่แถเกินจริงมากไปเหรอ แกนนำคนไหนล่ะ ก็พวกเพื่อนพ้องน้องพี่รุ่นๆ เดียวกันทั้งนั้น ที่บอกปากแฉะว่าไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราทุกคนเป็นแกนนำเอง แล้วพวกผู้ใหญ่ที่ประวัติไม่ได้ดีโด่ไปกว่าเด็กเหล่านี้ สักแต่ว่าถ่มถุยเสลดฟุ้งอยู่ทุกวันล่ะ
สุดท้ายรัฐมนตรียอมรับว่ากำลังพิจารณาศึกษาแก้ไขเรื่องระเบียบเครื่องแต่งกายนักเรียนอยู่ “แต่จะให้ทำทันทีถูกใจทุกคนเป็นไปไม่ได้และมั่นใจมีนักเรียนและผู้ปกครองมากกว่า ๕๐% ยังสบายใจที่จะใส่ชุดนักเรียน”
เฮ้ย มันเกี่ยวอะไร ถ้าผู้ปกครองสบายใจแล้วเจ้าตัวเด็กไม่สบายใจ เท่ากับเป็นการบังคับขืนใจอย่างเผด็จการ มันก็ต้องต่อต้านสิ หลักกลศาสตร์เบื้องต้น ถ้ากดลงไปก็จะเกิดแรงดันย้อนกลับ ไม่งั้นพวกเขาจะบอกว่า “เล็บกู ผมกู ร่างกายกู แต่ไปหนักหัวครู” หรือคะ
(https://www.nationtv.tv/main/content/378808480/?aig= และ https://www.dailynews.co.th/education/809898)