วันเสาร์, พฤศจิกายน 14, 2563

สังคมที่บิดเบี้ยว สั่งสมจนถึงจุดระเบิด ‘การต่อสู้ของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎร’ โดยคนรุ่นใหม่



CARE คิด เคลื่อน ไทย
October 28 at 8:00 AM ·

สังคมที่บิดเบี้ยว กับเยาวชนที่เป็นผลผลิตในมุมกลับ
.
.
เป็นเวลา 3 เดือนกว่าแล้ว นับตั้งแต่การชุมนุมของนักศึกษาในนามกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ที่ประชาชนได้ออกมาชุมนุมในทั่วทุกภูมิภาค เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อการบริหารงานรัฐบาลและความต้องการประชาธิปไตยของประชาชน
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งผู้เขียนจะให้ความสนใจตานนี้ไม่ใช่เรื่องข้อเรียกร้องหรือยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนไหวของม็อบหรอก แต่สิ่งที่สนใจที่สุด คือ การจัดการและความคิดสร้างสรรค์ของม็อบนี้ต่างหาก
.
ใครหลายคนอาจเรียกม็อบครั้งนี้ว่า “ม็อบคนรุ่นใหม่” แต่เมื่อดูดี ๆ จะพบว่าม็อบนี้ได้รวมคนจากหลายกลุ่ม หลายวัย หลายเจเนอเรชั่น หลายความคิด ไว้ด้วยกันโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันว่าประชาธิปไตยจะบังเกิดขึ้นในที่สุด
.
จริงที่สุดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เป็นของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งหรอก มันคือ ‘การต่อสู้ของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎร’ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันถูกจุดประกายและขับเคลื่อนไปด้วยแนวคิดของรุ่นใหม่เป็นตัวตั้ง ผสมกับประสบการณ์และความเก๋าของคนรุ่นก่อนเป็นตัวเสริม (ที่พวกเขาพร้อมใจจะสนับสนุนคนรุ่นใหม่เหล่านี้อย่างเต็มที่)
.
หากตั้งใจมอง คนรุ่นใหม่คือผลผลิตอย่างไม่ตั้งใจของระบบที่ผิดรูปผิดร่างในสังคมที่บิดเบี้ยว พวกเขา (หลายคน) ถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวที่ไม่เข้าใจและบิดเบี้ยวตามสังคม
.
พวกเขาเติบโตในโรงเรียนอำนาจนิยมและระบบการศึกษาที่ไม่ได้ให้อะไร นอกจากบีบบังคับให้เป็นไปตามแบบของแม่พิมพ์ พวกเขาถูกฟูมฟักท่ามกลางสังคมที่วิปริตและบีบบังคับในทุกด้าน
.
แต่พวกเขากลับสามารถใช้สิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับภายใต้โครงสร้างบิดเบี้ยว เพื่อหวังว่าจะสามารถบิดสังคมที่ผิดรูปผิดรอยให้กลับมาตรงอย่างที่ควรจะเป็น…..
.
ทั้งคุณและผมที่รวมกันเป็นพวกเรา คงเห็นแล้วว่าม็อบนี้ถูกขัดขวางยังไงบ้างจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร สลายม็อบด้วยรถฉีดน้ำแรงดันสูง ไล่จับแกนนำ ไล่รื้อเต็นท์ ไล่ยึดหม้อกระทะจานชามกาละมังของโรงครัวแม่ยกแห่งชาติ บุกยึดหมวกกันน็อคถึงโรงงาน ไล่ตะเพิดรถขนของ รถเครื่องเสียง รวมถึงรถห้องน้ำ (เลือดเย็นมาก)
.
รัฐคงคิดว่าจะส่งผลต่อม็อบมากที่สุด อย่างการไล่ยึดลำโพงเครื่องเสียง เพื่อหวังว่าเมื่อม็อบสื่อสารกันเองไม่ได้ ก็คงจะหมดพลังและสลายตัวไปเอง แต่เปล่าเลย รัฐดูถูกเยาวชนเหล่านี้เกินไป
.
แม้จะถูกขัดขวางจากรัฐด้วยสารพัดวิธีการ แต่คนรุ่นใหม่กลับสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่รัฐไม่เคยตั้งใจจะมอบให้ ในการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่าได้อย่างน่าประทับใจ
.
เพราะเมื่อตำรวจยึดรถเครื่องเสียงของม็อบและจับกุมแกนนำ มวลชนจึงเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันเองด้วยการตะโกนบอกต่อ ใช้สัญญาณมือ และใช้ป้ายผ้า พวกเขาสามารถสื่อสารกันภายในม็อบ ทำงานร่วมกันได้แม้จะเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการม็อบกันเองได้อย่างน่าทึ่ง
.
ไม่มีเงินเหรอ เปิดระดมทุนให้ทุกคนเป็นท่อน้ำเลี้ยง ไม่มีเสบียงเหรอ ฉันเอาข้าว เอาน้ำ เอาขนม มาแจก ไม่มีหมวก แว่นตา หน้ากากกันแก๊สเหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันขนมาให้ ไม่มีที่หลับที่นอนเหรอ พ่อค้าแม่ค้าเอาของมาจนเงินหมดเหรอ โอเค ต้องการอะไรบอกมา ฉันจัดการเอง
.
พวกเขากำหนดศัพท์แสลงที่เข้าใจกันเองภายในกลุ่ม เช่น แกงค์มินเนียน ม็อคค่า แกงเทโพ CIA หรือนาตาชา พวกเขารู้จักการจู๊กหลบเจ้าหน้าที่ด้วยการเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม และสามารถนัดหมายกันใหม่ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
.
พวกเขาใช้คำเสียดสีที่สร้างสรรค์ในการล้อเลียนเสียดสีผู้มีอำนาจด้วยอารมณ์ขันอย่างร้ายกาจ พวกเขา ‘แกง’ ตำรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดอย่างเสรี และแสดงออกตามความถนัดของแต่ละคนแต่ละกลุ่มอย่างอิสระ พวกเขามีความเข้าอกเข้าใจและอดกลั้นต่อความแตกต่าง
.
ทั้งหมดนี้ที่พวกเขาเรียนรู้และแสดงออก เกิดขึ้นภายใต้ระบบการศึกษาและสังคมที่บิดเบี้ยว สังคมที่ควบคุมและหล่อหลอมให้เป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ
.
แต่พวกเขาคือผลผลิตที่ผู้มีอำนาจไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้น คือผลผลิตที่เกิดจากความผิดพลาดและล้มเหลวของสังคมไทย แต่กลับมีศักยภาพและความสร้างสรรค์ได้ขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้น เราลองมาจินตนาการถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ สังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เติบโตตามความสามารถ ประเทศที่ไม่ได้กดทับและกีดกัน แต่รวมทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและรับฟังทุกเสียงเพื่อคนทุกกลุ่ม
.
ถ้าการเมืองดี ๆ มันเป็นไปได้ เด็กรุ่นใหม่อย่างลูกหลานของคุณลุงคุณป้า อย่างคุณและผมที่รวมเป็นพวกเรา คงจะได้ใช้เวลาไปกับการตามหาความฝัน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่พวกเราควรจะได้รับ แทนที่จะต้องมาตามหาประชาธิปไตยที่คนรุ่นปู่ย่าเคยตามหามาทั้งชีวิต และผลผลิตอย่างคนรุ่นใหม่จะมีศักยภาพที่จะช่วยพัฒนาประเทศและสร้างสังคมดี ๆ สำหรับทุกคนได้มากขนาดไหน
.
ภายใต้สังคมที่ ‘ผู้ใหญ่’ สยบยอมต่อความเป็นไปของสังคมไทยอย่างศิโรราบและสูญเสียความสามารถในการจินตนาการถึงชีวิตที่ดีกว่า คนที่ ‘ผู้ใหญ่’ มองว่าเป็น ‘เด็ก’ กลับมีความฝันอย่างเต็มเปี่ยมว่า ‘สังคมที่ดีกว่า’ มันเป็นไปได้ และพวกเขาหวังว่าสักวันคนรุ่นต่อจากเขา จะได้มีชีวิตอยู่ในประเทศที่ดีกว่าที่พวกเขาต้องเผชิญ
.
ดั่งปณิธานของเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลแห่งภูพาน
“ด้วยความหวังว่าลูกหลานจะได้มีชีวิตในประเทศและสังคมที่มีความเป็นธรรม”
.
แด่ทุกการต่อสู้และดวงวิญญาณที่ยอมสละเพื่อประชาธิปไตย

https://www.facebook.com/careorth/photos/a.110964473988585/186789096406122



CARE คิด เคลื่อน ไทย
November 1 at 6:53 AM ·

ปีศาจแห่งกาลเวลา
.
“ศัตรูของท่านไม่ใช่เยาวชน แต่มันคือยุคสมัยที่ไม่มีใครจะฝืนได้”
.
ประโยคนี้เป็นประโยคที่คุณตุลย์ อพาร์ทเมนต์คุณป้า ได้โพสต์เฟสบุ๊คไว้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา
.
ในกระแสที่โลกหมุนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง มีเด็กเกิดใหม่และมีคนตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คุณค่าแบบประชาธิปไตย ที่ทุกคนเท่าเทียมเสมอหน้ากัน ภายใต้กฎหมายที่มีที่มาจากประชาชน ได้กลายมาเป็นคุณค่าหลักของพลเมืองโลก
.
ภายใต้ความสงบสามัคคีที่พวกเขาฝันถึงนั้น เป็นเพียงแค่ฉากอันสวยงาม แต่ปัญหาต่างๆ มันได้ถูกซุกซ่อนไว้หลังฉากมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของรัฐอำนาจนิยมที่กระทำต่อผู้คนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม
.
จนกระทั่งในวันนี้ ความโหดร้ายรุนแรงต่าง ที่ถูกซุกซ่อนไว้มาตลอดประวัติศาสตร์การสร้างชาติของเรา ก็ได้เพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ให้แก่ปีศาจแห่งกาลเวลา
.
ประวัติศาสตร์ที่เคยถูกบิดเบือน บัดนี้ได้ถูกรื้อสร้างขึ้นมาตีความและทำความเข้าใจใหม่ ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมที่เป็นเสมือนยาบรรเทาปวด ออกฤทธิ์กล่อมประสาท บัดนี้ได้เสื่อมฤทธิ์ลงไปแล้ว เราจึงได้เห็นภาพการดิ้นพล่านของคนบางกลุ่ม ที่เหมือนอาการของคนลงแดงเพราะขาดยา
.
ความขัดแย้งในปัจจุบัน แท้จริงแล้วเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ที่อยู่ใน “โลกเก่า” ที่ยากล่อมประสาทกำลังจะหมดฤทธิ์ และคนใน “โลกใหม่” ที่พวกเขาอยากเห็น อยากใช้ชีวิตและเติบโตในโลกที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่านี้ได้
.
พวกเขาอยากอยู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ไม่ใช่การบินไปเที่ยว (ต่างประเทศ) แค่ปีละครั้งสองครั้ง แต่พวกเขาอยากอาศัยประเทศไทยที่พัฒนาได้ถ้าอยากพัฒนาไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
.
ศัตรูที่แท้จริงของระบอบเผด็จการ และคนที่ติดอยู่ในความหวานหอมรุ่งเรืองของอดีตอันจอมปลอมนั้นคือกาลเวลา ยุคสมัยที่ไม่อาจจะฝืนได้ เยาวชนเป็นเพียงผลผลิตของการเวลา เมื่อท่านทำร้ายกักขังเยาวชน กาลเวลาก็จะสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ จับหนึ่งเกิดร้อย จับร้อยเกิดแสน ไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่เวลายังเดินไปข้างหน้า หากท่านสามารถหยุดกาลเวลาได้ท่านจึงจะสามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
.
เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลามาตั้งคำถามว่า "ทำไม" เยาวชนคิดแบบนี้ อะไรที่ที่ให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องไปสืบหาเบื้องหลังอะไรให้เสียเวลาและเปล่าประโยชน์ แต่สิ่งที่ท่านผู้ครองอำนาจต้องทำคือ การที่ต้อง "ยอมรับ" ว่าเกิดขึ้นแล้ว และจะอยู่กันยังไง อยู่กันแบบไหน
.
ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป
.
โลกของท่านและพวกเขาเป็นคนละโลก และนับวันปีศาจแห่งกาลเวลาตนนี้ยิ่งจะสร้างเยาวชนเช่นนี้ออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ปีศาจตนนี้ก็ได้กำจัด ทำลายคนในโลกเก่าลง ให้จำนวนลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
.
ซี่กรงของท่านอาจขังดวงดาวได้ แต่มิอาจขังแสงแห่งดวงดาวได้
.
.
เรื่อง : สุธาวัฒน์ ดงทอง

#ปีศาจแห่งกาลเวลา