จะว่า ‘เหลือเชื่อ’ อย่างที่ Somsak Jeamteerasakul โพสต์ ก็น่าจะใช่ เกี่ยวกับโพสต์ของท่าน ‘จี๋’ ที่ว่า “ในหลวงทรงประทับอยู่เยอรมนีเพื่อเลี่ยงการลอบปลงพระชนม์” เพียงแต่ควรเสด็จกลับตั้งนานแล้ว ในเมื่อทรง ‘purged’ ข้าราชบริพารชุดเก่าจนเกลี้ยง
มิจำเป็นต้องรอเนิ่นช้าจนพรรคการเมืองฝ่ายค้านของเยอรมนี จี้จุดเอาเรื่อง ไม่ว่าการทรงงานราชการไทยระหว่างประทับที่นั่น รวมทั้งการรับมรดก (โอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมด) ๔๐ บิลเลี่ยนดอลลาร์
ม.ร.ว.จิราคม กิตติยากร อ้างว่าพระองค์ท่าน “เข้ามาสังคายนาพวกกร่างและโกงกินในวัง” จน “พวกที่ถูกลงโทษมีความเจ็บแค้น อาจคิดลอบปลงพระชนม์ จึงต้องป้องกันไว้ก่อน โดยเฉพาะเรื่องอาหาร” แต่การประทับอยู่ในบาวาเรียของพระองค์ดูจะเป้นปัญหาเสียยิ่งกว่า
ผู้ที่สามารถรับข่าวสารจากนานาชาติ โดยเฉพาะนิตยสาร ‘บิลด์’ ของเยอรมนี ของพระองค์และข้าราชบริพารที่ตามเสด็จนับเป็นสิบๆ ก่อให้เกิดการ ‘หมั่นไส้’ ในหมู่ชนท้องถิ่นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถึงกับครั้งหนึ่งมีการยิงหนังสติ๊กเข้าใส่ขบวนเสด็จทรงจักรยาน
แต่ที่มาเป็นปัญหาต่อพรรคการเมืองย่อยในเยอรมนี (พรรคกรีน) ก็ในช่วงที่เกิดไวรัส โควิด-๑๙ ระบาดหนัก เนื่องจากทรงย้ายที่ประทับจากพระตำหนักริมทะเลสาบไปสู่โรงแรมใกล้บริเวณภูเขาเล่นสกี โดยมีข้าราชบริพารหญิงกว่า ๒๐ นางติดตามไปด้วย เป็นที่ซุบซิบว่าคือ ‘ฮาเร็ม’
แม้จะส่งข้าราชบริพารอื่นๆ กว่าร้อยคนกลับประเทศไทยแล้ว ทว่าการประทับที่โรงแรมแห่งนั้นโดยทรงเช่าทั้งชั้น และไม่มีการปฏิบัติตามกฏป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเฉกเช่นที่พลเมืองท้องถิ่นต้องเคร่งครัด ทำให้เป็นที่ครหาว่าทรงใช้เอกสิทธิทางการทูตเกินกว่าสิทธิเสรีภาพของชาวเมือง
ประจวบกับการรณรงค์ของบรรดาผู้ลี้ภัยร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนท้องถิ่น หลังจากมีการอุ้มฆ่ากลุ่มผู้ลี้ภัยข้อหา ๑๑๒ ในประเทศกัมพูชา ๘ คน (ศพโผล่แม่น้ำโขงสองราย) ตามด้วยการ ‘อุ้มหาย’ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไม่นานมานี้
เป็นประเด็นความไม่เหมาะสมในการที่จะทรงประทับอยู่ในเยอรมนีอย่างกึ่งถาวรอีกต่อไป เหตุเพราะกระแสข่าวทางสื่อสังคมชี้ชัดไปที่ พล.อ.จักรภพ ภูริเดช นายทหารรักษาพระองค์ใกล้ชิดของพระเจ้าอยู่หัวมาแต่ครั้งยังทรงเป็นพระยุพราช
ทั้งที่ “รัฐบาลเยอรมนีระบุ ไม่มีหลักฐานว่ากษัตริย์ไทยทรงกระทำการใดที่ผิดกฎหมาย” และ “จากข้อมูลที่ได้มาจากรัฐบาลไทย การประทับของพระมหากษัตริย์ไทยในเยอรมนีเป็นการส่วนพระองค์” เท่านั้น มิเกล แบร์เกอร์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศแจ้ง
แต่ มาการีท บาวเซ ส.ส.โฆษกด้านสิทธิมนุษยชนของพรรคกรีนยังแคลงใจ “ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะมีหลักฐานว่ามีการใช้พระราชอำนาจระหว่างประทับที่นั่น” ในเมื่อ “ร.๑๐ ประทับที่นั่นด้วยวีซ่าเอกชน ไม่ใช่ state visas”
สิ่งต่างๆ ที่ ‘หม่อมจี๋’ อ้างอิงว่าเป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงมี “ดุลยพินิจดีมาก” เช่น สนามม้านางเลิ้ง ๓๐๐ ไร่ ทรงพระราชทานให้จัดทำเป็นสวนสาธารณะ ที่ดินสวนดุสิต “ทรงดำริให้มีโครงการก่อสร้างโรงพยาบาล...เพราะโรงพยาบาลในใจกลางเมือง กทม.ไม่เพียงพอ”
พอจะเชื่อได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่ “ทีมงานที่ท่านเลือก ก็เป็นบุคคลากรที่มีประสิทธิภาพสูง ขยัน อดทน และมีดุลยพินิจดีมากด้วยเช่นกัน” คำกล่าวสรรเสริญต่างๆ ของ ม.ร.ว.จิราคม อาจจะมีน้ำหนักมากกว่าหม่อมเจ้าจุลเจิม
คงเพราะอายุอานามไม่ห่างจากพระองค์มากนัก และมีความใกล้ชิดในหลวงองค์นี้มาแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ (อย่างน้อยๆ ได้ร่วมโต๊ะเสวยบ่อยครั้ง) อีกอย่าง ไม่ว่าที่ผ่านๆ มาจะเป็นอย่างไร ครั้นเมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เชื้อพระวงศ์น้อยใหญ่สายโน้นสายนี้ ย่อมมุ่งหมายได้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท
แม้นว่าข้ออ้างหลายอย่างของหม่อมจี๋ จะ “เหลือเชื่อที่มีหลายคนเชื่อ” ก็คงเป็นเพราะสังคมไทยถูกฝังชิปทางปัญญาให้เป็นมาอย่างนี้ แล้วยังมีพวกห้อยพวกโหนที่พยายามทำให้ความเป็น ‘มนุษย์’ บางส่วนที่ ‘อัปลักษณ์’ หากพบในคนทั่วไป กลายเป็นเรื่องเหนือปุถุชนสำหรับเจ้า
ตัวอย่างชัดๆ กรณีนี้ดูได้จากการที่ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ หาเหตุโจมตีฝักฝ่ายการเมืองคู่แข่ง กล่าวหาธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “รู้ว่ามีม็อบ แล้วผ่านทางนั้นทำไม” จากเหตุการณ์ที่เมืองคอน
ทั้งๆ ที่กลุ่มเสื้อเหลืองปกป้องสถาบันในเครือข่ายสถาบันทิศทางไทย เป็นฝ่ายไปดักรอเพื่อกลุ้มรุมไล่ทุบรถที่คิดว่าธนาธรนั่งอยู่ข้างใน ความเบาปัญญาของ ส.ส.พลังประชารัฐผู้นี้ไม่ทันคิดว่าข้อโจมตีของนาง ดันไปตรงกับ
เหตุขบวนเสด็จราชินี ‘เหเข้าไปหา’ ผ่านใจกลางชุมนุมม็อบเยาวชนเสียมากกว่า
(https://prachatai.com/journal/2020/11/90395 และ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000117227)