วันอาทิตย์, มกราคม 12, 2563

พอโดนปูด 'เขี้ยวยาวแล้วเรียนลัด' กกต.ฟ้องบ้าง ดัง 'ยุทธวิธี' ที่ศาลใช้

ฮือฮากันได้สองสามวัน เบนความสนใจไปยัง บิ๊กโจ๊ก และ โจรเหี้ยม แล้วก็วนกลับมาหา อนาคตใหม่เมื่อ จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาฯ กกต.แถลง ปั้น คดีใหม่อีกสำนวน “พิจารณาดำเนินคดีกับบุคคลที่นำเอกสารราชการซึ่งเป็นชั้นความลับไปเผยแพร่ต่อสาธารณะชนโดยไม่มีอำนาจ”

นั่นจะเป็น “อีกช้อตที่เด็ดกว่า” ซึ่ง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แซะเตือนพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่เอาไว้ “ต้องเหนื่อยกว่าจะได้” และ “ต้องรอดูสถานการณ์สุกงอมให้มากกว่านี้” แต่ “ที่แน่ๆ กาไว้ข้างฝา ไม่ใช่วันที่ ๒๑ นี้แน่นอน”

สำหรับองค์กรอิสระเพื่อ คสช. โดย คสช. อย่าง กกต. ที่ภารกิจหลักชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกวันนี้อยู่ในขั้น ฟันพรรคการเมืองตรงข้ามการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร อย่างกรณีอนาคตใหม่ไม่หมูเหมือน ไทยรักษาชาติเพราะพวกเขาฮึดสู้ตลอดเวลา

แต่ กกต.ชุด คสช.ตั้งเสียอย่าง วนไปวนมาเดี๋ยวก็เอาลงจนได้ ไม่มีคำว่าเพลี่ยงพล้ำ ทั้งที่เมื่อสองวันก่อน โดน ปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาปูดชนิดหน้าเละแล้วก็ยังหันมาสวิงกลับจนได้

๑๐ มกรา เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่แจ้งข่าวที่รัฐสภาฟ้องประชาชนถึงความ กระเหี้ยนกระหือรือของ กกต.ในคดีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้พรรคกู้เงิน ๑๙๑ ล้านบาทเพื่อเป็นทุนดำเนินการหาเสียงก่อนเลือกตั้ง แต่ต่อมาโดน ศรีสุวรรณ จรรยา กับ สุรวัชร สังขฤกษ์ ยื่นฟ้อง

ศรีสุวรรณชงด้วย ม.๖๖ ของ พรป.พรรคการเมือง โทษจำคุกและปรับ พ่วงถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหาร แต่ไม่มีโทษยุบพรรค แต่พอ กกต.รับไปพิจารณา ปั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพิ่ม ม.๗๒ เข้าไปด้วย จะได้ ยุบพรรค เสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป

(หมายเหตุ) ม.๖๖ เป็นเรื่องความผิดของ ผู้ให้ส่วน ม.๗๒ เป็นกรณีความผิดของพรรค เผือก รับเงินที่เขาบริจาคเกิน ๑๐ ล้านบาท ทั้งๆ ที่การกู้เงินโดยหลักธุรกิจการเงิน การธนาคารที่ไหนในโลก ถือเป็น หนี้ไม่ใช่บริจาค
 
ก็นั่นละ บอกแล้วว่า กกต. ขี้ข้า คสช.เสียอย่าง แม้นว่าจะอ้าง “ทั้งหมดเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ที่จะวินิจฉัยออกมาในแนวทางใด” แต่ก็เห็นได้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนว่าวินิจฉัยตามธง ถึงจะไม่ใช่ ตามสั่งแต่ในเมื่อมีอยู่ถาดเดียวจะเป็นอื่นได้อย่างไร

แล้วที่ปิยบุตรเอามาปูดก็เป็นเอกสารของแท้ ‘authentic’ ตาม หน้าที่ ของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน แต่เมื่อคณะกรรมการ (ที่ ๑๓) “มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ เห็นควรยกคำร้อง” แล้ว กกต.ไม่ยอมรับ ส่งต่อให้คณะที่ ๑๘ วินิจฉัยใหม่

สำนวนที่ ๑๘ ออกมาเหมือนชุดก่อน ชี้เหตุผลและข้อเท็จจริง “เห็นควรยกคำร้อง” เช่นกัน “กกต. ก็ยังไม่จบอีก ได้สั่งตั้งให้คณะอนุกรรมการวินิฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งพิจารณาอีก โดยอ้างว่าเพื่อให้การพิจารณาสำนวนของ กกต. เป็นไปอย่างรอบคอบ”

ปิยบุตรว่า “ที่เล่าข้างต้นมาก็ว่าแย่แล้ว แต่เมื่อนำข้อเสนอของคณะอนุฯ ไปพิจารณา กกต. คณะใหญ่กลับมีมติ ๕ ต่อ ๒ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าทำผิดมาตรา ๖๒, ๖๖ และ ๗๒” นั่นคือเพิ่มมาตรา ๗๒ เข้าไปเฉยเลย

ปิยบุตรถึงได้ถาม กกต.ดังๆ ว่า “ท่านยังมียางอายอยู่หรือไม่ ในเมื่อถ้าจะฟ้องด้วย ม.๗๒ “ตามกฎหมาย จะต้องดำเนินการไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่” แต่ กกต.เขี้ยวยาวแล้วเรียนลัด

รวบรัดง่ายๆ อย่างนั้นปิยบุตรชี้ว่า ผิดอาญามาตรา ๑๕๗ นะ “ซึ่งขณะนี้เราไปฟ้องศาลอาญาแผนกคดีทุกจริตประพฤติมิชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพิสูจน์แล้วว่า กกต. มีเจตนากลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่จริง โทษคือติดคุก”


กกต.หรือจะยั่น เป็นองค์กรอิสระใต้ง่ามขา คสช.ก็ต้องแลกหมัด ฟัดกันให้รู้ฤทธิ์สิ แถลงว่า “ขั้นตอนการพิจารณาสำนวนการสืบสวน...ของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง” เสร็จสิ้นแล้ว “ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กกต.”
 
แล้วก็จัดแจงกล่าวหา ว่าการเอาเอกสาร ๑๘ หน้า (เกรียงศักดิ์ ม่วงอ่อน เป็นประธาน) และ ๑๓ หน้า (น.ส.พรวิสาห์ เอมพานิช พนักงานสืบสวนและไต่สวน ชำนาญการ เป็นผู้รับผิดชอบ) มาเปิดเผย กกต.จะฟ้องบ้าง อันเป็น 'ยุทธวิธี' แบบเดียวกับที่ ศาล ใช้

นั่นคือ ฟ้องปิดปาก ฟ้องเป็นชนักปักหลัง ฟ้องแก้ต่าง-แก้เขิน ฟ้องบ้างเพราะกฎหมายเขียนไว้เข้าข้างเรา แม้กระทั่งสักแต่ว่าฟ้องสไตล์ศรีสุวรรณ คอยดูสิสักวันจะต้องเผลอ ฟ้องพวกเดียวกัน