วันอังคาร, กรกฎาคม 16, 2562

จากบิ๊กตูบมาเป็นไอทู้บ รัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้ว ยังส่งตำรวจไปคุกคามสร้างความรำคาญนักกิจกรรมอยู่

จากบิ๊กตูบมาเป็นไอทู้บเต็มตัวแล้วเหรอ ในสารอำลาตำแหน่งหัวหน้าคณะนักยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า “ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขตามกฎเกณฑ์ปกติในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีอำนาจพิเศษใด ๆ อีกต่อไป”

นี่เป็นการโกหกคำโตอีกครั้ง เพราะยังมีการใช้อำนาจพิเศษส่งเจ้าหน้าที่ไปคุกคาม หรืออย่างน้อยรบกวน สร้างความรำคาญแก่นักกิจกรรมและสื่อมวลชนบางคนอยู่เลย ๑๕ ก.ค. สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ สื่อมวลชนอาวุโสวัย ๖๔ ปี แพร่ข่าวทางเฟชบุ๊คว่า

“มีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางไปที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ทั้งที่ทั้ง ๒ ท่านมีอายุเกือบจะ ๙๐ ปีแล้ว ทำให้คุณแม่รู้สึกตกใจเพราะไม่รู้เรื่องการเมือง

หลังจากนั้นยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางมาหาตนเองที่บ้าน โดยอ้างว่ามาจากจังหวัดนครปฐม แต่เมื่อขอดูบัตรเจ้าหน้าที่กลับปรากฏว่าเป็นตำรวจในกรุงเทพฯ สังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล ๘”
 
วันเดียวกันอีกราย บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน เล่าว่ามีตำรวจไปที่บ้าน ตนไม่อยู่บ้านจึงคุยกับลูกและขอชื่อกับหมายเลขโทรศัพท์ไป คาดว่าเป็นชุดเดียวกับที่ไปหานายสงวน เพราะมาจากหน่วยนครบาล ๘ เหมือนกัน

“นอกจากนั้น ทราบว่าตำรวจยังตามไปที่ ‘สวนเงินมีมา’ ซึ่งเป็นที่ทำงาน” โดยไปถามหาอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ อ้างว่าห่วงเรื่องความไม่ปลอดภัย เรื่อง ‘จ่านิว’ ถูกตี

ทั้งสองรายตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุที่ตำรวจไปรบกวนเนื่องจากการที่ได้ไปร่วมงานศพของ ธง แจ่มศรี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยคนสุดท้าย ซึ่งมีนักกิจกรรมหลายคนไปร่วมที่จังหวัดนครปฐม รวมทั้ง ‘จ่านิว’ หรือสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์

(จากรายงานของ ฟ้ารุ่ง ศรีขาว https://www.facebook.com/thai.udd.news/posts/2401044706837653_tn__=H-R)

พฤติกรรมคุกคามจากเจ้าหน้าที่เช่นที่คณะรัฐประหารกระทำมาตลอดกว่า ๕ ปีของการยึดอำนาจและเข้ามาเป็นรัฐบาลประเทศไปเป็นแสนล้านนี้ จะยังคงดำเนินต่อไปในรัฐบาลชุดประยุทธ์ ๒ ที่อ้างว่า “เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

รองนายกรัฐมนตรีสองคนที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้วเข้าสู่รัฐบาลใหม่ ยืนยันการใช้อำนาจ ปรับทัศนคติกับประชาชนต่อไป ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ

โดยเฉพาะนายวิษณุขยายความว่า การปรับทัศนคติต่อไปนี้จะอยู่ในส่วนปฏิบัติการของ กอ.รมน. แต่จะไม่มีการนำตัวไปควบคุม มีเพียงพูดคุยตักเตือนและสั่งห้าม ผู้ที่ถือว่าเป้นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและราชบัลลังก์

อย่างไรก็ดีอำนาจดังกล่าวอยู่ในคำสั่ง คสช. สามฉบับที่ยังไม่มีการยกเลิกและจะได้รับการปรับรวมให้อยู่ในหมู่กฎหมายปกติโดยรัฐบาลใหม่ ได้แก่ คำสั่งที่ ๓/๒๕๕๗ ๑๓/๒๕๕๘ และ ๕/๒๕๖๐ ที่ให้อำนาจนายทหารยศร้อยโทขึ้นไปเป็นผู้ปฏิบัติ

การปรับทัศนคติโดยเจ้าหน้าที่นี้รวมถึงการนำบุคคลไปควบคุมตัวไว้ ๗ วันโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาและพึ่งพาอำนาจศาล ซึ่งแม้รองฯ วิษณุ จะแจ้งว่าต่อนี้ไปไม่มีการควบคุมตัว ก็เพียงเป็นลมปาก คสช. อันหาความน่าเชื่อถืออะไรไม่ได้ ตราบเท่าที่อำนาจยังคงอยู่

กลุ่มปฏิรูปกฎหมาย ไอลอว์ อันมี ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ เป็นผู้ประสานงานริเริ่มการรณรงค์ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ละเมิดทั้งสิทธิมนุษยชนและขัดต่อหลักนิติธรรม ๓๕ ฉบับ ปรากกว่ามีการยกเลิกไปเพียงสิบกว่าฉบับ ส่วนที่ยังเก็บไว้โอนไปให้ กอ.รมน.เป็นผู้บังคับใช้ รวมถึง ๓ ฉบับดังกล่าวข้างต้น

ยิ่งชีพเผยว่าแม้การรณรงค์จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนร่วมลงชื่อกว่า ๑ หมื่น ๓ พันคน และกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายให้ความร่วมมือสานต่อดำเนินการในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็เป็นเรื่องยากที่ร่างกฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช.จะต้องผ่านความเห็นชอบจากเสียงในวุฒิสภาด้วย

เป็นที่เห็นกันแล้วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ๒๕๐ คนนี้กระทำการเป็นปากเสียงของ คสช.โดยตรง และประพฤติตนเป็นอภิสิทธิชนเหนือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งกันมากยิ่งขึ้นทุกวัน

จากความไร้สาระเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม ขณะนี้มาถึงฉายาใหม่ที่ว่าเป็น “วุฒิสภาสันหลังยาว” เนื่องจากมักขาดประชุมกันเป็นอาจินต์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อ้างว่าพักรับประทานอาหาร ซึ่งไม่มีระเบียบกำหนดจะต้องเป็นเวลาใดหรือนานเท่าใด

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพยายามแก้ต่างว่าหอประชุมทีโอทีที่ใช้อยู่ จุคนได้กว่า ๖๐๐ และวุฒิสมาชิกมีเพียง ๒๐๐ เวลาที่เข้าประชุมกันจึงดูโหรงเหรง นอกจากนั้นการปฏิบัติภารกิจของวุฒิสมาชิกไม่ได้อยู่แต่ในห้องประชุมอย่างเดียว

แต่ก็มีวุฒิสมาชิกบางคนกล่าวหาว่าสื่อมวลชนบางราย จ้องจับผิดนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ เป็นคนหนึ่งที่อภิปรายว่า “มีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่งที่กำลังจะปิดกิจการในเดือนหน้าได้จุดประเด็นเรื่องนี้ โดยพยายามจับผิดส.ว.”


ซึ่งถ้าเขารู้จักคิดให้ไกลกว่าหน้าผาก น่าจะเข้าใจอย่างที่ ประจักร ก้องกีรติ แนะว่า “ถ้าแค่การมาประชุมสัปดาห์ละ ๒ วันยังทำไม่ได้ (ทั้งที่ปชช.และสื่อจับจ้องอยู่) แล้ว ปชช.จะมีความเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า นอกห้องประชุม (ซึ่งไม่มีข้อบังคับ ไม่มีสื่อจับจ้อง) สว.จะทำงาน”

นั่นละ ยังมี สว.ประเภทดีแต่คอยติติง โจมตีฝ่ายค้าน นอกจากรายคุณแพทย์หญิงที่เห็นว่าการไว้ทุกข์ประธานองคมนตรีที่จรลีสู่สัมปรายภพเป็นเรื่องสำคัญแห่งชาติ แล้วมี สว.ชายอีกราย เห้นว่าการเดินทางไปยุโรปและอเมริกาพบปะเจรจากับต่างชาติเป็นการสร้างภาพ
 
สมชาย แสวงการ แซะธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไปให้สัมภาษณ์ บีบีซี ที่หน้าสำนักงานเดิมว่าไม่เห้นมีนักข่าวฝรั่งสักคน “ในฐานะอดีตบรรณาธิการข่าวมือเก่าอย่างเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ขำจนเกือบตกเก้าอี้” ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ธนาธรโพสต์ภาพบรรยากาศการไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอ็นบีซีของอเมริกา

“เป็นเกียรติมากที่ได้สัมภาษณ์กับนักข่าวชื่อดังของอเมริกา คุณแอนเดรีย มิชแชล @mitchellreports เกี่ยวกับการต่อสู้ก้าวต่อไปของพรรคอนาคตใหม่” สมชายคงไม่รู้เรื่องนอกกะลาอย่างนี้หรอกว่า แอนเดรีย มิชเชลล์ นั้นเธอระดับไหน