จากบิ๊กตูบมาเป็นไอทู้บเต็มตัวแล้วเหรอ ในสารอำลาตำแหน่งหัวหน้าคณะนักยึดอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า “ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขตามกฎเกณฑ์ปกติในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีอำนาจพิเศษใด
ๆ อีกต่อไป”
นี่เป็นการโกหกคำโตอีกครั้ง
เพราะยังมีการใช้อำนาจพิเศษส่งเจ้าหน้าที่ไปคุกคาม หรืออย่างน้อยรบกวน
สร้างความรำคาญแก่นักกิจกรรมและสื่อมวลชนบางคนอยู่เลย ๑๕ ก.ค. สงวน คุ้มรุ่งโรจน์
สื่อมวลชนอาวุโสวัย ๖๔ ปี แพร่ข่าวทางเฟชบุ๊คว่า
“มีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางไปที่บ้านคุณพ่อคุณแม่
ทั้งที่ทั้ง ๒ ท่านมีอายุเกือบจะ ๙๐ ปีแล้ว
ทำให้คุณแม่รู้สึกตกใจเพราะไม่รู้เรื่องการเมือง
หลังจากนั้นยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางมาหาตนเองที่บ้าน
โดยอ้างว่ามาจากจังหวัดนครปฐม แต่เมื่อขอดูบัตรเจ้าหน้าที่กลับปรากฏว่าเป็นตำรวจในกรุงเทพฯ
สังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล ๘”
วันเดียวกันอีกราย บารมี ชัยรัตน์
ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน เล่าว่ามีตำรวจไปที่บ้าน
ตนไม่อยู่บ้านจึงคุยกับลูกและขอชื่อกับหมายเลขโทรศัพท์ไป คาดว่าเป็นชุดเดียวกับที่ไปหานายสงวน
เพราะมาจากหน่วยนครบาล ๘ เหมือนกัน
“นอกจากนั้น ทราบว่าตำรวจยังตามไปที่
‘สวนเงินมีมา’ ซึ่งเป็นที่ทำงาน” โดยไปถามหาอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ อ้างว่าห่วงเรื่องความไม่ปลอดภัย
เรื่อง ‘จ่านิว’ ถูกตี
ทั้งสองรายตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุที่ตำรวจไปรบกวนเนื่องจากการที่ได้ไปร่วมงานศพของ
ธง แจ่มศรี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยคนสุดท้าย ซึ่งมีนักกิจกรรมหลายคนไปร่วมที่จังหวัดนครปฐม
รวมทั้ง ‘จ่านิว’ หรือสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์
(จากรายงานของ ฟ้ารุ่ง ศรีขาว https://www.facebook.com/thai.udd.news/posts/2401044706837653_tn__=H-R)
พฤติกรรมคุกคามจากเจ้าหน้าที่เช่นที่คณะรัฐประหารกระทำมาตลอดกว่า
๕ ปีของการยึดอำนาจและเข้ามาเป็นรัฐบาลประเทศไปเป็นแสนล้านนี้
จะยังคงดำเนินต่อไปในรัฐบาลชุดประยุทธ์ ๒ ที่อ้างว่า “เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
รองนายกรัฐมนตรีสองคนที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้วเข้าสู่รัฐบาลใหม่
ยืนยันการใช้อำนาจ ‘ปรับทัศนคติ’ กับประชาชนต่อไป ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายวิษณุ
เครืองาม รองนายกฯ
โดยเฉพาะนายวิษณุขยายความว่า การปรับทัศนคติต่อไปนี้จะอยู่ในส่วนปฏิบัติการของ
กอ.รมน. แต่จะไม่มีการนำตัวไปควบคุม มีเพียงพูดคุยตักเตือนและสั่งห้าม
ผู้ที่ถือว่าเป้นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและราชบัลลังก์
อย่างไรก็ดีอำนาจดังกล่าวอยู่ในคำสั่ง คสช.
สามฉบับที่ยังไม่มีการยกเลิกและจะได้รับการปรับรวมให้อยู่ในหมู่กฎหมายปกติโดยรัฐบาลใหม่
ได้แก่ คำสั่งที่ ๓/๒๕๕๗ ๑๓/๒๕๕๘ และ ๕/๒๕๖๐ ที่ให้อำนาจนายทหารยศร้อยโทขึ้นไปเป็นผู้ปฏิบัติ
การปรับทัศนคติโดยเจ้าหน้าที่นี้รวมถึงการนำบุคคลไปควบคุมตัวไว้
๗ วันโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาและพึ่งพาอำนาจศาล ซึ่งแม้รองฯ วิษณุ
จะแจ้งว่าต่อนี้ไปไม่มีการควบคุมตัว ก็เพียงเป็นลมปาก คสช.
อันหาความน่าเชื่อถืออะไรไม่ได้ ตราบเท่าที่อำนาจยังคงอยู่
กลุ่มปฏิรูปกฎหมาย ‘ไอลอว์’ อันมี ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ เป็นผู้ประสานงานริเริ่มการรณรงค์ยกเลิกคำสั่ง
คสช. ที่ละเมิดทั้งสิทธิมนุษยชนและขัดต่อหลักนิติธรรม ๓๕ ฉบับ
ปรากกว่ามีการยกเลิกไปเพียงสิบกว่าฉบับ ส่วนที่ยังเก็บไว้โอนไปให้
กอ.รมน.เป็นผู้บังคับใช้ รวมถึง ๓ ฉบับดังกล่าวข้างต้น
ยิ่งชีพเผยว่าแม้การรณรงค์จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนร่วมลงชื่อกว่า
๑ หมื่น ๓ พันคน และกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายให้ความร่วมมือสานต่อดำเนินการในสภาผู้แทนราษฎร
แต่ก็เป็นเรื่องยากที่ร่างกฎหมายยกเลิกคำสั่ง
คสช.จะต้องผ่านความเห็นชอบจากเสียงในวุฒิสภาด้วย
เป็นที่เห็นกันแล้วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของ
คสช. ๒๕๐ คนนี้กระทำการเป็นปากเสียงของ คสช.โดยตรง และประพฤติตนเป็นอภิสิทธิชนเหนือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งกันมากยิ่งขึ้นทุกวัน
จากความไร้สาระเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม
ขณะนี้มาถึงฉายาใหม่ที่ว่าเป็น “วุฒิสภาสันหลังยาว”
เนื่องจากมักขาดประชุมกันเป็นอาจินต์
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อ้างว่าพักรับประทานอาหาร
ซึ่งไม่มีระเบียบกำหนดจะต้องเป็นเวลาใดหรือนานเท่าใด
นายพรเพชร วิชิตชลชัย
ประธานวุฒิสภาพยายามแก้ต่างว่าหอประชุมทีโอทีที่ใช้อยู่ จุคนได้กว่า ๖๐๐
และวุฒิสมาชิกมีเพียง ๒๐๐ เวลาที่เข้าประชุมกันจึงดูโหรงเหรง นอกจากนั้นการปฏิบัติภารกิจของวุฒิสมาชิกไม่ได้อยู่แต่ในห้องประชุมอย่างเดียว
แต่ก็มีวุฒิสมาชิกบางคนกล่าวหาว่าสื่อมวลชนบางราย
‘จ้องจับผิด’ นายกิตติศักดิ์
รัตนวราหะ เป็นคนหนึ่งที่อภิปรายว่า “มีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่งที่กำลังจะปิดกิจการในเดือนหน้าได้จุดประเด็นเรื่องนี้
โดยพยายามจับผิดส.ว.”
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1582296 และ http://www.khaosodenglish.com/politics/2019/07/15/wissanu-govt-to-retain-attitude-adjustment-but-wont-detain-people/DZo)
ซึ่งถ้าเขารู้จักคิดให้ไกลกว่าหน้าผาก
น่าจะเข้าใจอย่างที่ ประจักร ก้องกีรติ แนะว่า “ถ้าแค่การมาประชุมสัปดาห์ละ ๒ วันยังทำไม่ได้
(ทั้งที่ปชช.และสื่อจับจ้องอยู่) แล้ว ปชช.จะมีความเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า
นอกห้องประชุม (ซึ่งไม่มีข้อบังคับ ไม่มีสื่อจับจ้อง) สว.จะทำงาน”
นั่นละ ยังมี
สว.ประเภทดีแต่คอยติติง โจมตีฝ่ายค้าน นอกจากรายคุณแพทย์หญิงที่เห็นว่าการไว้ทุกข์ประธานองคมนตรีที่จรลีสู่สัมปรายภพเป็นเรื่องสำคัญแห่งชาติ
แล้วมี สว.ชายอีกราย เห้นว่าการเดินทางไปยุโรปและอเมริกาพบปะเจรจากับต่างชาติเป็นการสร้างภาพ
สมชาย แสวงการ แซะธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไปให้สัมภาษณ์ บีบีซี
ที่หน้าสำนักงานเดิมว่าไม่เห้นมีนักข่าวฝรั่งสักคน “ในฐานะอดีตบรรณาธิการข่าวมือเก่าอย่างเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
ขำจนเกือบตกเก้าอี้” ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ธนาธรโพสต์ภาพบรรยากาศการไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอ็นบีซีของอเมริกา