การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี ดอแนลด์
ทรั้มพ์ ของสหรัฐ กับ คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เป็นเวลา ๑ วันเต็มเหยียด
จบลงด้วยความชื่นมื่นทุกฝ่าย ทั้งผู้สนับสนุนทรั้มพ์ในอเมริกา รัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือ
และรัฐบาลสิงคโปร์เจ้าภาพ
ผู้สนับสนุนทรั้มพ์จะใช้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้กลบเกลื่อนการเป็นประธานาธิบดีที่มีบุคคลิกภาพ
‘ไม่เป็นประธานาธิบดี’
หรือ ‘un-presidential’ ของเขา อ้างความชอบธรรมต่อการที่รัฐบาลทรั้มพ์กีดกันคนเชื้อสายต่างด้าว
ต่อนโยบายเศรษฐกิจที่ให้คุณแก่ธุรกิจใหญ่ และความรู้สึกเหยียดผิว เหยียดเพศ
ที่ยังเกลื่อนอยู่ในสังคมอเมริกัน
แน่นอนว่าจะได้เห็นแฟนขลับของทรั้มพ์เชิดชูประเด็น
เรียกร้องให้คณะกรรมการรางวัลโนเบิลมอบเกียรติยศสาขาสันติภาพให้แก่เขา แม้จะอยู่ในแวดวงไม่กว้างนักในหมู่ผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
แต่เชื่อแน่ว่าจะมีการ ‘ตีอกชกลม’ ในวันสองวันนี้แน่นอน
รัฐบาลเกาหลีเหนือจะเป็นฝ่ายที่โฆษณาชวนเชื่อได้อย่างมากมาย
ในความสำเร็จของ ‘ท่านผู้นำ’ จากการที่คิม จองอึนเป็นผู้เปิดโลกกว้างให้แก่เกาหลีเหนือ การออกไปท่องชมสิงคโปร์ยามราตรีกับคณะของรัฐมนตรีต่างประเทศเจ้าภาพ
พร้อมบรรยากาศเซลฟี่กับผู้คนตามถนนหนทาง เป็นภาพพจน์ที่ทั้งพ่อและปู่ของคิม จองอึนไม่มีโอกาสได้สัมผัส
ไม่เพียงเท่านั้น คิม จองอึน
กลับบ้านไปสู่การกระชับอำนาจและบารมี ในฐานะผู้นำที่พาเกาหลีเหนือก้าวหน้าเข้าสู่มิติใหม่
ของการปฏิวัติเศรษฐกิจมิให้ถูกโลกกว้างทิ้งไว้เบื้องหลัง ดังคำปราศรัยวันที่ ๒๐
เมษายนของเขา ต่อกรรมการกลางพรรคแรงงานแห่งชาติ
รัฐบาลเจ้าภาพนั้นน่าจะได้รับการชมเชยมากกว่าใคร
ที่ทุ่มจัดการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วยงบประมาณราว ๒๐ ล้านดอลลาร์
ที่จะไม่ได้รับค่าตอบแทนอื่นใดมากไปกว่าชื่อเสียงและวิสัยทัศน์ แห่งความเป็นศูนย์กลางโลกสำหรับศตวรรษที่
๒๑
ลองไล่เรียงกันอีกรอบว่าใครได้ใครไม่ได้อะไรจากการประชุมสุดยอดระหว่างสองขั้วคู่ปรปักษ์ทางการเมืองโลกครั้งนี้
โดยยอมรับว่าสิงคโปร์ได้คำชมที่มีคุณค่ามากกว่าเงินที่เสียไป
ขณะที่เกาหลีเหนือได้ภาพพจน์อันนอกจากจะบอกกับชาวโลก
ว่าไอไม่ใช่อสูรกายอย่างที่ตะวันตกพยายามสร้างภาพให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาแล้วนะ
พร้อมยืนยันกับคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าว่าท่านผู้นำกำลังพาประเทศไปสู่ความอุดมสมบูรณ์
และการยอมรับของชาวโลก
การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคแรงงานเมื่อวันที่
๒๐ เมษายน ที่ผ่านมา เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเกาหลีเหนือภายใต้คิม จองอึน เมื่อเขาประกาศว่าประเทศถึงหมุดหมายแห่งการเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางด้านอาวุธปรมาณู
สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือรายงานคำของคิมต่อกรรมการกลางว่า
ถึงเวลาต้องขยับปรับยุทธศาสตร์ชาติขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว อันจะเป็นก้าวสำคัญหลังจากที่เป้าหมายการเสริมสร้างสมรรถนะกำลังทางอาวุธนิวเคลียร์สำฤทธิ์ผล
‘อย่างเหลือเชื่อ’
ในปีที่ผ่านมาแล้ว
บทความของวอลสตรีทเจอร์นอลระบุว่า คิม
จองอึน ประกาศยุติการสร้างเสริมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อที่จะปักหลักมุ่งมั่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
คำพูดเช่นนี้อาจจะเป็นแค่ ‘พิธีการ’ สำหรับเกาหลีเหนือ แต่สำหรับรัฐบาลทรั้มพ์
การไปจับมือกับคิมไม่ได้มีหลักประกันอันใดเลยสำหรับการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
ไม่มีใครจะบอกได้ว่าเกาหลีเหนือจะหยุดสร้างเสริมอาวุธปรมาณูไปได้นานแค่ไหน
หรือว่าทำลายอาวุธที่ผลิตสะสมไว้แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของสหรัฐ
และความวาดหวังของกลุ่มประเทศเนโต้
แม้นว่าการประชุมสองต่อสอง (แถมล่าม)
ระหว่างทรั้มพ์และคิมเป็นเวลาไม่กี่สิบนาฑี ตามด้วยการประชุมทั้งคณะ
(แถมอาหารกลางวัน) คงจะไม่มีผลสำเร็จปรากฏออกมาในเร็ววันนี้ และจะยิ่งเนิ่นนานออกไปเมื่อไม่สามารถรวบรัดอะไรได้ภายในวันเดียว
(อย่างไรก็ดีมีคำคมจากปากของคิม จองอึน “อดีตเป็นตรวนทำให้เราเดินกะเผลก
ความหยามเหยียดเป็นตัวอุปสรรคแก่การก้าวไปข้างหน้าของเรา แต่เราก็เอาชนะมันได้และมาเจอกันวันนี้”)
การเจรจาจะยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกเป็นเดือน
หรือหลายเดือน
แต่ผลเฉพาะหน้าคงจะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ผ่านทางหน้าทวิตเตอร์ของดอแนลด์
ทรั้มพ์ ภายในวันสองวันนี้แน่ๆ
แต่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการศึกษาเกาหลีเหนือ
ศาสตราจารย์ เดวิด แค็ง แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ชี้ว่ากระบวนการทางการทูตในการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเพียงแค่
“การถ่ายรูปร่วมกัน...แม้นว่ามันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทั้งในเกาหลีเหนือเองและในภูมิภาค”
ในแวดวงการทูตและการเมืองระหว่างประเทศเป็นที่ทราบกันดีว่า
การเจรจาระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ได้มีการตกลงกันมาแล้วหลายครั้งในประเด็นการผลิตอาวุธปรมาณู
เพียงแต่ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐที่ผ่านมาคนไหนมุ่งไปที่การพบปะระหว่างสองผู้นำ
หรือ ‘ซัมมิต’ (เหมือนทรั้มพ์)
และผลที่ตามมาก็ปรากฏว่าฝ่ายเกาหลีเหนือเลี่ยงที่จะยอมรับเรื่องทำลายคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์
หรือไม่ก็ผิดคำพูดเสียดื้อๆ
ทรั้มพ์เองก็เข้าสู่ ‘ซัมมิต’ โดยไม่มีความพร้อมในข้อตกลงเบื้องต้นเฉกเช่นที่การประชุมสุดยอดทั้งหลายทำกันตลอดมาในประวัติการณ์
เขายืนยันความพร้อมด้วยอัตตาหรือ ‘gut’ ของตนเองเท่านั้น การพบกันครั้งนี้
จึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนคาดหมายว่าจะเกิดผลสำเร็จได้
แม้นว่าหลายคนยินดีที่มีการพบกันเกิดขึ้น
ไม้ค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของทรั้มพ์เองก็ยอมรับในข้อนี้
“สหรัฐเคยถูกหลอกมาก่อน ไม่ต้องสงสัย” เขากล่าว “ประธานาธิบดีของเราหลายคนลงนามข้อตกลงไปแล้วพบว่า
เกาหลี–เหนือ- ไม่ได้ตกปากรับคำจริง หรือไม่ก็ตระบัดสัตย์”
แน่นอนว่าขณะนี้ยังไม่อาจรู้ว่าทรั้มพ์ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นหรือเปล่า
ไม่เช่นนั้นคงจะปรากฏออกมาแล้วทางทวิตเตอร์ แต่ความสำเร็จในทางที่โลกจะมีบรรยากาศของสันติภาพ
ปลอดจากความหวาดหวั่นในผลแห่งมิคสัญญีปรมาณู น่าจะเกิดขึ้นในตลอดหลายเดือนข้างหน้า