วันอังคาร, มิถุนายน 12, 2561

'สุดยอด' ทรั้มพ์-คิม จะได้โนเบิลไหมไม่รู้ แน่ๆ คือ ‘นีลสันเรทติ้ง’

การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี ดอแนลด์ ทรั้มพ์ ของสหรัฐ กับ คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เป็นเวลา ๑ วันเต็มเหยียด จบลงด้วยความชื่นมื่นทุกฝ่าย ทั้งผู้สนับสนุนทรั้มพ์ในอเมริกา รัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือ และรัฐบาลสิงคโปร์เจ้าภาพ

ผู้สนับสนุนทรั้มพ์จะใช้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้กลบเกลื่อนการเป็นประธานาธิบดีที่มีบุคคลิกภาพ ไม่เป็นประธานาธิบดี หรือ ‘un-presidential’ ของเขา อ้างความชอบธรรมต่อการที่รัฐบาลทรั้มพ์กีดกันคนเชื้อสายต่างด้าว ต่อนโยบายเศรษฐกิจที่ให้คุณแก่ธุรกิจใหญ่ และความรู้สึกเหยียดผิว เหยียดเพศ ที่ยังเกลื่อนอยู่ในสังคมอเมริกัน

แน่นอนว่าจะได้เห็นแฟนขลับของทรั้มพ์เชิดชูประเด็น เรียกร้องให้คณะกรรมการรางวัลโนเบิลมอบเกียรติยศสาขาสันติภาพให้แก่เขา แม้จะอยู่ในแวดวงไม่กว้างนักในหมู่ผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่เชื่อแน่ว่าจะมีการ ตีอกชกลมในวันสองวันนี้แน่นอน

รัฐบาลเกาหลีเหนือจะเป็นฝ่ายที่โฆษณาชวนเชื่อได้อย่างมากมาย ในความสำเร็จของ ท่านผู้นำจากการที่คิม จองอึนเป็นผู้เปิดโลกกว้างให้แก่เกาหลีเหนือ การออกไปท่องชมสิงคโปร์ยามราตรีกับคณะของรัฐมนตรีต่างประเทศเจ้าภาพ พร้อมบรรยากาศเซลฟี่กับผู้คนตามถนนหนทาง เป็นภาพพจน์ที่ทั้งพ่อและปู่ของคิม จองอึนไม่มีโอกาสได้สัมผัส
 
ไม่เพียงเท่านั้น คิม จองอึน กลับบ้านไปสู่การกระชับอำนาจและบารมี ในฐานะผู้นำที่พาเกาหลีเหนือก้าวหน้าเข้าสู่มิติใหม่ ของการปฏิวัติเศรษฐกิจมิให้ถูกโลกกว้างทิ้งไว้เบื้องหลัง ดังคำปราศรัยวันที่ ๒๐ เมษายนของเขา ต่อกรรมการกลางพรรคแรงงานแห่งชาติ
รัฐบาลเจ้าภาพนั้นน่าจะได้รับการชมเชยมากกว่าใคร ที่ทุ่มจัดการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วยงบประมาณราว ๒๐ ล้านดอลลาร์ ที่จะไม่ได้รับค่าตอบแทนอื่นใดมากไปกว่าชื่อเสียงและวิสัยทัศน์ แห่งความเป็นศูนย์กลางโลกสำหรับศตวรรษที่ ๒๑

ลองไล่เรียงกันอีกรอบว่าใครได้ใครไม่ได้อะไรจากการประชุมสุดยอดระหว่างสองขั้วคู่ปรปักษ์ทางการเมืองโลกครั้งนี้ โดยยอมรับว่าสิงคโปร์ได้คำชมที่มีคุณค่ามากกว่าเงินที่เสียไป

ขณะที่เกาหลีเหนือได้ภาพพจน์อันนอกจากจะบอกกับชาวโลก ว่าไอไม่ใช่อสูรกายอย่างที่ตะวันตกพยายามสร้างภาพให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาแล้วนะ พร้อมยืนยันกับคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าว่าท่านผู้นำกำลังพาประเทศไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ และการยอมรับของชาวโลก

การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคแรงงานเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ที่ผ่านมา เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเกาหลีเหนือภายใต้คิม จองอึน เมื่อเขาประกาศว่าประเทศถึงหมุดหมายแห่งการเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางด้านอาวุธปรมาณู

สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือรายงานคำของคิมต่อกรรมการกลางว่า ถึงเวลาต้องขยับปรับยุทธศาสตร์ชาติขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว อันจะเป็นก้าวสำคัญหลังจากที่เป้าหมายการเสริมสร้างสมรรถนะกำลังทางอาวุธนิวเคลียร์สำฤทธิ์ผล อย่างเหลือเชื่อ ในปีที่ผ่านมาแล้ว


บทความของวอลสตรีทเจอร์นอลระบุว่า คิม จองอึน ประกาศยุติการสร้างเสริมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อที่จะปักหลักมุ่งมั่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจ คำพูดเช่นนี้อาจจะเป็นแค่ พิธีการ สำหรับเกาหลีเหนือ แต่สำหรับรัฐบาลทรั้มพ์ การไปจับมือกับคิมไม่ได้มีหลักประกันอันใดเลยสำหรับการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

ไม่มีใครจะบอกได้ว่าเกาหลีเหนือจะหยุดสร้างเสริมอาวุธปรมาณูไปได้นานแค่ไหน หรือว่าทำลายอาวุธที่ผลิตสะสมไว้แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของสหรัฐ และความวาดหวังของกลุ่มประเทศเนโต้

แม้นว่าการประชุมสองต่อสอง (แถมล่าม) ระหว่างทรั้มพ์และคิมเป็นเวลาไม่กี่สิบนาฑี ตามด้วยการประชุมทั้งคณะ (แถมอาหารกลางวัน) คงจะไม่มีผลสำเร็จปรากฏออกมาในเร็ววันนี้ และจะยิ่งเนิ่นนานออกไปเมื่อไม่สามารถรวบรัดอะไรได้ภายในวันเดียว

(อย่างไรก็ดีมีคำคมจากปากของคิม จองอึน “อดีตเป็นตรวนทำให้เราเดินกะเผลก ความหยามเหยียดเป็นตัวอุปสรรคแก่การก้าวไปข้างหน้าของเรา แต่เราก็เอาชนะมันได้และมาเจอกันวันนี้”)

การเจรจาจะยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกเป็นเดือน หรือหลายเดือน แต่ผลเฉพาะหน้าคงจะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ผ่านทางหน้าทวิตเตอร์ของดอแนลด์ ทรั้มพ์ ภายในวันสองวันนี้แน่ๆ

แต่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการศึกษาเกาหลีเหนือ ศาสตราจารย์ เดวิด แค็ง แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ชี้ว่ากระบวนการทางการทูตในการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเพียงแค่ “การถ่ายรูปร่วมกัน...แม้นว่ามันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทั้งในเกาหลีเหนือเองและในภูมิภาค”

ในแวดวงการทูตและการเมืองระหว่างประเทศเป็นที่ทราบกันดีว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ได้มีการตกลงกันมาแล้วหลายครั้งในประเด็นการผลิตอาวุธปรมาณู

เพียงแต่ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐที่ผ่านมาคนไหนมุ่งไปที่การพบปะระหว่างสองผู้นำ หรือ ซัมมิต(เหมือนทรั้มพ์) และผลที่ตามมาก็ปรากฏว่าฝ่ายเกาหลีเหนือเลี่ยงที่จะยอมรับเรื่องทำลายคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ หรือไม่ก็ผิดคำพูดเสียดื้อๆ

ทรั้มพ์เองก็เข้าสู่ ซัมมิตโดยไม่มีความพร้อมในข้อตกลงเบื้องต้นเฉกเช่นที่การประชุมสุดยอดทั้งหลายทำกันตลอดมาในประวัติการณ์ เขายืนยันความพร้อมด้วยอัตตาหรือ ‘gut’ ของตนเองเท่านั้น การพบกันครั้งนี้ จึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนคาดหมายว่าจะเกิดผลสำเร็จได้ แม้นว่าหลายคนยินดีที่มีการพบกันเกิดขึ้น

ไม้ค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของทรั้มพ์เองก็ยอมรับในข้อนี้ “สหรัฐเคยถูกหลอกมาก่อน ไม่ต้องสงสัย” เขากล่าว “ประธานาธิบดีของเราหลายคนลงนามข้อตกลงไปแล้วพบว่า เกาหลี–เหนือ- ไม่ได้ตกปากรับคำจริง หรือไม่ก็ตระบัดสัตย์”


แน่นอนว่าขณะนี้ยังไม่อาจรู้ว่าทรั้มพ์ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นคงจะปรากฏออกมาแล้วทางทวิตเตอร์ แต่ความสำเร็จในทางที่โลกจะมีบรรยากาศของสันติภาพ ปลอดจากความหวาดหวั่นในผลแห่งมิคสัญญีปรมาณู น่าจะเกิดขึ้นในตลอดหลายเดือนข้างหน้า

รางวัลที่ทรั้มพ์และคิมควรได้ร่วมกันในความสำเร็จนี้ น่าจะเป็น นีลสันเรทติ้งขณะที่รางวัลสันติภาพต้องเป็นของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์