วันเสาร์, มิถุนายน 09, 2561

นายกฯ บอกให้ “เชื่อใจผมสิครับ...จำคำพูดผมไว้แล้วกัน” แต่ไล่เบี้ยดูแล้วเชื่อไม่ได้ "คำพูดประยุทธ์มันเคยเป็นจริงตามที่พ่นๆ ออกมาไหม"

ขอยืมคำ Nithinand Yorsaengrat มาใช้หน่อย เธอโพสต์ไว้ตรงเผง “ก็ไม่ใช่ นกหวีด กปปส. กับแก๊ง คสช. หรือไรที่ใจร้อน อยากได้อะไรด่วนๆ แก้ปัญหาง่ายๆ

เช่น ไม่พอใจทักษิณที่ขึ้นมาแข่งบารมี ทำให้ชาวบ้าน (ที่คนมีอำนาจไม่เคยเห็นหัว) มีกินมีใช้จริง จึงต้องสร้างเรื่องปลุกระดมพวกนกหวีดคิดน้อย รีบไล่ทักษิณ โจมตี ปชต. โจมตี ปชช. ผู้ต้องการเสรีภาพ เป็นคนชั่วขายชาติ

บ้านเมืองมันเลยฉิบหายแบบนี้น่ะค่ะ แล้วยังไม่สำนึก ยังเอาแต่ด่าคนอื่น...”

เธอย้อนคำปั้นแต่งโฆษณาชวนเชื่อตนเองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐประหารที่ตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “ถ้าไม่เข้ามาจะทำอย่างไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็อยากจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดูสิว่าวันนี้จะอยู่กันได้ไหม มันจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้”

สงครามกลางเมืองมันจะเกิดก็ด้วย กปปส. ช่วยก่อ แล้วมาสร้างวาทกรรมอ้างหาความชอบธรรมเสียจนเคยตัว อยากจะอยู่นานๆ ถึงสร้างยุทธศาสตร์ ๒๐ ปีมาไว้กำกับ “หากทุกคนใจร้อน อยากได้อะไรดีๆ เร็วๆ ด่วนๆ ท้ายสุดก็กลับมามีปัญหาทั้งสิ้น รัฐบาลไม่อยากจะทำอะไรที่แก้ปัญหาอย่างง่ายๆ” ประยุทธ์ว่า
ที่จริงปัญหามันไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่พวกพ้องของตน นักปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเอย พวกผู้ดีขี้อิจฉาเอย กับพวกสลิ่มอยากเป็นชนชั้นสูงส่ง ปั้นเรื่องและก่อกวนจนได้เรื่อง หยุดการพัฒนาประชาธิปไตยไปสี่ปี สังคมถึงได้ รวยกระจุกจนกระจาย แบบนี้

อาการของประยุทธ์นี่น่าจะเป็นดังที่มีคำเปรยว่า “โกหกเป็นนิจสินเสียจน เชื่อว่าสิ่งที่ตนมดเท็จนั่นเป็นความจริง” 

คราวนี้แก้ตัวเรื่องที่มีข้อครหาว่าเอาข้าวรับจำนำมาโดยรัฐบาลที่แล้วไปขายเป็นข้าวเน่าจนเกลี้ยง ให้พ่อค้าใส่ถุงใหม่ขายเป็นข้าวดี แล้วเอาเงิน ๔ หมื่นล้านมาใช้สร้างพรรคประชารัฐ จัดตั้งมวลชน กองหนุนลุงตู่

ช่วยกันเชื่อหน่อย เจ้าตัวอุตส่าห์พูดเองโท่งๆ “เชื่อใจผมสิครับ ผมเป็นอย่างนี้ผมไม่ทำหรอก ถึงไม่เข้ามาผมก็ไม่ทำ ผมไม่เคยทำอย่างนั้น ไม่เคยทรยศกับประเทศชาติ จำคำพูดผมไว้แล้วกัน”


ใครไม่เชื่อก็มักจะโดนแจ้งข้อหา จับขังคุก ส่วนเรื่องคำพูดแน่นอนต้องจำ แต่ก่อนจะจำก็ต้องตรวจสอบ ไล่เบี้ยเสียก่อน คำพูดประยุทธ์มันเคยเป็นจริงตามที่พ่นๆ ออกมาไหม แค่เรื่องโร้ดแม้พเลือกตั้งนี่เลื่อนมา ๕ ครั้งจนครบสี่ปี ไม่ต้องไปอิงเรื่องอื่นก็ได้

แล้วเรื่องงบประมาณยิ่งร้ายกว่า ผลาญมาเท่าไหร่ สี่ปี ๑๔ ล้านล้านยังไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จะให้รอพิสูจน์ความสามารถอีกสี่ปีห้าปีน่ะหรือ ถ้ามันปาเข้าไปอีก ๓๐ ล้านล้าน แล้วจะเหลืออะไรให้ลูกหลานแดรก ล่ะเฮีย

มันเป็นอย่างที่ วีระ สมความคิด ว่านั่นแหละ “เท่าที่จำได้ ทุกคนที่เขาด่า เขาด่าตัวคุณนะ ไม่เห็นมีใครด่าตำแหน่งนายกฯ เลยสักคน”

นั่นสืบเนื่องจากเรื่องเก่าเมื่อวันก่อนที่ประยุทธ์โฆษณาตัวเองอีกเช่นกันว่า “ผมคือผม มีความเป็นมนุษย์สูงหน่อย นายกฯ คือตำแหน่ง จะมาหมิ่นตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้”


พอวันวานเอาอีก พูดเสร็จสบัดก้นผละไป หลังจากถูกคำถามว่าปลื้มไหมนี่ มีชาวนาประชารัฐสวมเสื้อสีฟ้าติดตรา กองหนุนลุงตู่ไปสร้างบารมีถึงทำเนียบฯ “พวกเธอล่ะปลื้มชั้นบ้างไหม ไม่เห็นปลื้มอะไรสักอย่าง ทำลายกันเข้าไปเถอะ”


ใครจะปลื้มเข้าไปลง วางท่ากร่าง อ้างแต่รักชาติรักราชบัลลังก์ แต่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเดือดร้อน เพียงเพราะพวกเขามองเห็นความชั่วของตนและพวกพ้องลิ่วล้อ ที่เหตุข่มเหงชาวบ้านอยู่เนืองๆ มีให้เห็นแทบทุกวัน ยกตัวอย่างอีกกรณีก็ได้

อย่างการเสียชีวิตจากการวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมช่วยเด็กชาวเขาชาติพันธุ์ลาหู่ ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งครอบครัวและญาติมิตรร้องเรียนว่าเขาถูกทหารที่ด่านยิงข้างหลัง แล้วยัดของกลางและข้อหาค้ายาเสพติดให้
โฆษกกองทัพบก ออกมาปฏิเสธไม่ยอมให้มีการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ว่าผู้ตายจะใช้มีดและระเบิดต่อสู้ขัดขืนการจับกุมจริงหรือไม่

พ.อ.วินธัย สุวารี อ้างด้านๆ ว่า “เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วง...ในส่วนของพยานหลักฐาน” ได้ อีกทั้ง “คดียังไม่ถึงที่สุด”

แต่นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความในคดี ให้ความเห็นเอาไว้ในการเสวนาทวงถามความยุติธรรมใน วงจร (เ)ปิด :๑ ปี ชี้การตายชัยภูมิเมื่อ ๕ มุถายนที่ผ่านมาว่า “ที่ด่านรินหลวงมีกล้องวงจรปิด ๙ ตัว และมีถึง ๖ตัวที่หันเข้าหาจุดที่มีการค้นรถของชัยภูมิก่อนที่จะวิสามัญ”

โดยที่บันทึกในชั้นสอบสวนระบุว่า “ร้อยโทรายหนึ่งได้รับคำสั่งจากนายให้ถอดฮาร์ดดิสก์ออกจากกล้องวงจรปิด และเอาฮาร์ดดิสก์อันใหม่ไปใส่แทน ก่อนที่จะนำมาส่งให้พนักงานสอบสวน”

ครั้นเมื่อคลิปบันทึกไปถึงมือพนักงานสอบสวน ปรากฏว่าภาพในฮ้าร์ดดิสค์ขาดหายไป ๑๐ นาฑีตรงช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ทหารเข้าค้นรถของนายชัยภูมิกระทั่งมีวิสามัญฆาตกรรมพอดี

“กองพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่าเครื่องฮาร์ดดิสก์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมาสามารถใช้งานได้ปกติ ไม่ได้เสียแต่อย่างใด ทว่าภาพวันเกิดเหตุกลับหายไปจากฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามอีกว่าภาพหายไปได้อย่างไร” ทนายของผู้ตายกล่าวกับนักข่าว


อย่างนี้นี่หรือความสุจริตของ คสช. และทหารในบังคับบัญชา ชีวิตของชาวเขาสัญชาติไทยคนหนึ่งที่ทำกิจกรรมช่วยเหลือยกระดับความรู้และจิตวิญญานของเด็กๆ ชาวเขา มุ่งหมายให้ติบโตไปเป็นพลเมืองคุณภาพของประเทศ

แต่ทหารเฝ้าด่านลุแก่อำนาจเพราะถือปืน เหนี่ยวไกยิงเขาตายง่ายๆ แล้วกองทัพยังพยายามปกปิดหลักฐาน เพียงเพื่อสร้างภาพให้กองทัพดูดี ตัวหัวหน้าใหญ่จะได้คุยเฟื่องเขื่องบารมีได้อย่างสบายใจ ตามแต่ปากจะพาไปกระนั้นหรือ