วันเสาร์, มกราคม 06, 2561

มวยคู่ใหม่... ปู๋อินดี้กับทั่นวอ



...





อะไรคือ คำว่า วิปัสสนา

๓ มกราคม ๒๕๖๑

คืนวันอังคารที่สองที่ผ่านมาเวลา ๒ ทุ่มเศษ เณรเต๋าเอาโทรศัพท์มายื่นให้บอกว่ารายการเจาะลึกทั่วไทย ToNight ดำเนินรายการโดย “ดนัย เอกมหาสวัสดิ์” และ “อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์” โทรมาขอสัมภาษณ์กรณี ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันของท่าน ว.วชิรเมธี ที่จัดให้มีการแสดง แสง สี เสียง ละคร เรื่อง "พุทธ :The Truth" ในค่ำคืนวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ขณะที่วัดทั้งประเทศ เขามีการเชิญชวนให้ชาวบ้านเข้าวัดเพื่อเจริญมนต์เจริญสติข้ามปี

ที่มันกลายเป็นประเด็นถกเถียง กันในโลกโซเชียลแตกกันสองฝ่าย ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายไม่เห็นด้วย

ฝ่ายสนับสนุนก็เชื่อว่าจะเป็นอะไรไป ศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวันไม่ใช่วัด ถ้าจะปรุงแต่งรูปแบบนำเสนอ สาระโดยรวมให้มันสอดคล้องกับจริตของชาวพุทธบ้าง ก็ไม่เห็นแปลก ... นี่คือกุศโลบาย ที่สอนให้คนไทยได้รู้จักพระพุทธศาสนาในเรื่องความดี

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ก็กล่าวว่า
การแสดงชุดนี้มันสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์รสนิยมส่วนตัว ความชอบเฉพาะตัวของท่าน ว.วชิรเมธี เองหรือเปล่า ?

เอาหญิงมาแต่งคอสเพลย์เป็นพระมันเหมาะสมหรือเปล่า ?
ก็ว่ากันไป นานาจิตตังแล้วแต่อารมณ์และกิเลสของแต่ละคน
แต่ที่แน่ๆ คำว่า ศูนย์วิปัสสนาสากล คำนี้เป็นสิ่งที่ต้องขยาย
คำว่าวิปัสสนา หมายความว่า

- ความเห็นแจ้ง เห็นตรง แจ่มชัดต่อสภาวะธรรม ความจริง
- ปัญญาพิจารณาเห็นหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อความไม่ยึดติดในสังขารทั้งปวง
- การฝึกสติปัญญาเพื่อการรู้แจ้งชัดจนพัฒนาจิตนี้ให้ลุถึง วิปัสสนาญาณ
คือปัญญาเห็นการเกิด การดับ ของสิ่งที่เป็นนาม และรูปทั้งปวง
ปัญญาเห็นการดับของนามรูปและสังขารการปรุงแต่งทั้งหลาย
ปัญญาเห็นแจ่มชัดในโทษภัยของสังขาร
ปัญญาเห็นความเบื่อหน่ายในนามรูปสังขารและกรรมกิเลสทั้งปวง
ปัญญาเห็นแจ่มชัดถึงทางที่จักทำให้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
ปัญญาพิจารณาในวิถีทางอันจักทำให้หลุดพ้นนั้นว่าถูกตรงดีอยู่แล้วหรือ
ปัญญารู้เห็นอย่างแจ่มชัดในการวางจิต ให้เป็นกลางต่อการปรุงแต่งทั้งปวง
และปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ เห็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับ
เหล่านี้เรียกว่าผลของวิปัสสนา
ท่านทั้งหลายจักเห็นว่า วิปัสสนาที่แท้จริงนั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ตัวตนเราเขาหรือสิ่งของใดๆ
รวมความว่า วิปัสสนาต้องเป็นปัญญาล้วนๆ
ด้วยเพราะมีปัญญา จึงรู้อย่างแจ่มชัดตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพบุคคล สรรพวัตถุ ล้วนตกอยู่ในความหมายของคำว่า
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
ธรรมทั้งหลาย ไม่มีตัวตน
เช่นนี้แหละ วิปัสสนา จึงไม่มีมายาการ
ผู้เจริญวิปัสสนาจึงต้องไม่มีมายาการ
ผู้เจริญวิปัสสนาจึงต้องไม่สร้างมายาการ
และไม่สนับสนุนให้ใครสร้างมายาการ
ไม่เช่นนั้นจักกลายเป็น วิปลาส
วิปลาสของวิปัสสนา คือ
เห็นว่างาม ในของที่ไม่งาม
เห็นว่าเที่ยงยั่งยืน ในของที่ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
เห็นว่ามีตัวตน ในของที่ไม่มีตัวตน
เห็นว่าสุข ทั้งที่ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ เป็นเจ้าเรือน
เหล่านี้แหละคือ วิปัสสนาวิปลาส
พุทธะอิสระ พอเห็นภาพพระเณร ยืนเข้าแถวต้อนรับคุณตูน ฮีโร่ชาวไทยก็รู้แล้วว่า เจ้าสำนักนี้น่าจัก วิปลาสไปเสียแล้ว

พุทธะอิสระ

...





ติเพื่อก่อ มิใช่เพื่อการทำร้าย ทำลาย

๕ มกราคม ๒๕๖๑

พอเขียนอธิบาย คำว่า “วิปัสสนาวิปลาส” กรณีพฤติกรรมของท่าน ว.วชิรเมธี ก็มีบรรดาพ่อยก แม่ยก กองเชียร์ของท่าน ว.วชิรเมธี ออกมารุมด่าพุทธะอิสระ

ขณะเดียวกันก็มีบรรดากองเชียร์พุทธะอิสระแสดงความคิดเห็นด้วย

แม้แต่ท่านศาสนวิทยา ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ยังแสดงความคิดเห็น วิพากษ์พฤติกรรมของท่าน ว.วชิรเมธี ในเชิงอย่างเห็นความรับผิดชอบและความถูกต้องจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง

ที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายควรจักออกมาแสดงความรับผิดชอบชี้ถูกชี้ผิด ให้สังคมได้รับรู้ เข้าใจอย่างถูกต้อง

แต่โดยความจริงที่ปรากฏ สังคมไทยกลับไม่เคยเห็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบการปกครองคณะสงฆ์ ออกมาชี้ให้สังคมได้รับรู้เลยว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ อะไรถูกอะไรผิด

วงการคณะสงฆ์ มันถึงได้อยู่กัน “อย่างใครดีใครอยู่” “ตัวใครตัวมัน” พระบ้านนอก,ผู้น้อย ,วัดบ้านนอก ก็ต้องปากกัดตีนถีบ หากินหาอยู่ไปตามยถากรรม อะไรที่ทำแล้วอยู่รอดก็ทำ ไม่เว้นแม้แต่ทรงเจ้า เข้าผีเพื่อความอยู่รอดทั้งนั้น

ถามว่า แล้วบรรดาเจ้าคณะปกครองผู้เกี่ยวข้องทำอะไรกันอยู่ ใครรู้ช่วยตอบที

ถามว่า แล้วธรรมเนียมการอยู่ร่วมกันในสังคมของพระภิกษุ ที่สอนกันมาเรียนกันมามันมีเอาไว้แค่สอบเพื่อยกอีโก้ ตัวกูเท่านั้นใช่ไหม

ยังจำได้ว่า หลักในการอยู่ร่วมกันในพระธรรมวินัยนี้มีอยู่ว่า

1. มีกายกรรม อันประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

2. มีวจีกรรม อันประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

3. มีมโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

4. แบ่งปันลาภที่ตนได้รับมาแล้วโดยชอบ ให้แก่เพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. รักษาศีลให้บริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่นๆเพื่อความอยู่ร่วมกันโดยสันติ

6. มีความเห็นอันเสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่นๆ อันถูกตรงต่อหลักธรรมวินัย

เหล่านี้เรียกว่า สาราณียธรรม

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันด้วยความกลมเกลียว

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันเพื่อความเจริญ

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันเพื่อความปลอดภัย

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันเพื่อความมั่นคง

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันเพื่อความพัฒนา

แล้วสังคมคณะสงฆ์ที่เป็นอยู่กันทุกวันนี้ ได้ทำตามแบบธรรมเนียมที่เล่าเรียนกันมาบ้างหรือเปล่า ?

ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูแค่การแบ่งปันลาภที่ตนได้รับมา หากทำตามหลักสาราณียธรรมนี้

พระบ้านนอก วัดบ้านนอก คงไม่ต้องปากกัดตีนถีบกันอยู่ทุกวันนี้
คงไม่มีคดีเงินทอนวัด ให้สังคมได้เห็น

คงไม่มีข่าวเด็กเส้น เล่นเดินสายวิ่งหายศถาบรรดาศักดิ์กันอยู่ทุกวันนี้

คงไม่มีคำว่า ค่าของคนมันอยู่ที่คนของใคร

เมื่อไหร่สังคมจักไม่ต้องมานั่งสงสัยว่า ทำไมพระบ้านนอกไม่มีโอกาสได้เป็นกรรมการเถรสมาคมกับเขาบ้าง ทั้งที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาตลอดชีวิต

หากปฏิบัติตามหลักสาราณียธรรมนี้ คงไม่มีวัดไหนรวย วัดไหนจน

ทุกวัดล้วนอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค ทั้งลาภสักการะ และยศถาบรรดาศักดิ์

ที่พุทธะอิสระ เขียนมาเช่นนี้ ก็มิได้หมายว่าพุทธะอิสระและพระบ้านนอก ท่านอยากได้อยากมี

แต่พูดในเชิงหลักการและเหตุผลว่า

เหตุที่สังคมมันวิปลาส วิปริตกันอยู่ทุกวันนี้

ก็เพราะพระและคนไม่ทำตามหลักการนี้แหละ

มันถึงได้วิปลาส

ที่เขียนมามิได้มุ่งหวังทำลายล้าง

แต่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงจากผิด ไปหาถูก

จากไม่ดี ไปสู่สิ่งดีๆ

ก็มุ่งหวังว่า ท่านผู้มีอำนาจหน้าที่ บารมีทั้งหลาย คงจักได้สำเหนียกและหาทางแก้ไข ให้พระธรรมวินัยกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เสียที

เลิกกันเสียทีเถิดกับคำว่า ธุระไม่ใช่ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์

เพราะมันไม่ได้ให้คุณใดๆ กับแผ่นดินนี้เลย

พุทธะอิสระ

ขอบคุณรูปภาพ : เฟสบุ๊ค ศาสนวิทยา ดร.สินชัย : 4


หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)