วันจันทร์, ตุลาคม 02, 2560

เสื้อแดงเขาพูดกัน ตอนนี้ฝั่งโน้นเค้าก็ไม่เอา ‘I-Thu’ แล้วนะ

เสื้อแดงเขาพูดกัน ตอนนี้ฝั่งโน้นเค้าก็ไม่เอา ‘I-Thu’ แล้วนะ ไม่เชื่อลองดูที่ ป้อม พระสุเมรุ สิ ฉะเละทั้งทีมบิ๊กๆ จากป้อม ป็อก เจี๊ยบ ฉัตร แล้วก็วนมาหาตู่

บทความ “บริวารเป็นพิษ-คนใกล้ชิดทำพัง” อ้างว่าเวลานี้เข้ายุคเสื่อมของ คสช. เรื่องฉาวโฉ่และข้อหาฉกรรจ์เต็มไปหมด แบบว่า “อำนาจผลัดใบ ผลประโยชน์ผลัดมือ” จน ตำบลกระสุนตกไม่ใช่แค่ป๋าป้อมคนเดียว แต่กระจายขยายวงไปทั่วถึงบิ๊ก คสช. คนอื่นๆ ถ้วนหน้า

เขาพูดถึงทั้ง ปมป่ากระทิงแดง ห้วยเม็ก เรือเหี่ยว ๓๕๐ ล้าน โครงการโรงไฟฟ้า ขุมทรัพย์อาจมแสนล้าน และ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อสองหมื่นกว่าล้าน ว่าอาจจะมี ส่วนต่าง และ เงินกินเปล่าในการสั่งซื้อขี้วัว-ขี้ไก่ในราคาแพงกว่าชาวบ้านซื้อครึ่งต่อครึ่ง

(รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://mgronline.com/politics/detail/9600000100042)

ดูแล้วความตั้งใจพวกนี้เป็นความพยายามสร้างมูลค่าให้แก่ตน สำหรับการเลือกตั้งที่พอคาดหวังได้ว่าจะมีในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเป็นอย่างเร็ว

จากบทบาทของพวกนกหวีดจัดตั้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่าเขาเล่นยุทธศาสตร์สองง่ามกัน แง่งหนึ่งปล่อยให้สุเทือกสวมบท ‘King Lear’ หนุนตู่เป็นนายกฯ คนนอก สร้างหลักประกันหลังเลือกตั้ง ผลจะออกมาอย่างไรได้ ผสม ในรัฐบาลแหงๆ

อีกแง่งกลับหัวไปหาง หันมาเชิดชูการเลือกตั้งไว้ก่อน ขอให้ได้คะแนนเสียงมากหน่อยสักครั้งในชาตินี้ จะได้เป็นแกนตั้งรัฐบาลเองเสียที (หลังจากคู่แข่งที่ตนไม่เคยเอาชนะได้ถูกตุลาการผู้วิเศษขย้ำเสียจนเหมือนจะร่อแร่แล้ว*) พวกนี้ก็ออกหาเสียงกรุยทางด้วยการทับถมไม้ล้ม คุ้ยดินกลบให้จมหายไปในปฐพี

งานนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถนัด ไม่ว่าการไปพูดที่ฮาวาร์ดซัดทักษิณ หรือกลับมาพูดในกรุงเทพฯ แซะประยุทธ์เบาะๆ ไม่ถึงกับยั่วเยาะจนลุงตูบอารมณ์เสีย แต่ก็ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นพอประมาณ

ส่วนงานฟัดหนักให้เป็นหน้าที่ของแผนกกัดดะ อดีต ส.ส.อุบลราชธานี อิสระ สมชัย จัดให้ พูดถึงภาษีน้ำกับเขาบ้าง อ้างถึงการให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เรื่องแผนการเก็บภาษีจากการใช้น้ำทางการเกษตร

แกนนำ กปปส. ในพรรคประชาธิปัตย์คนนี้ช่วยขยายผลจาก ป้อม พระสุเมรุ ให้หนักหน่วงเข้าไปอีกหน่อย ว่านั่นเป็นการ “ประกาศเป็นศัตรูกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนทั่วประเทศ นับเป็นสิบล้านครอบครัว” 


จังหวะเหมาะเจาะจง โพลกรรณิกาออกมารับลูก แจ้งผลสำรวจความนิยมในตัวคนดี ที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา นี้ว่า

ส่วนใหญ่ร้อยละ ๖๘. ยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพราะซื่อสัตย์สุจริต จริงจังจริงใจแก้ปัญหาประเทศ เด็ดขาด ทนต่อความเหนื่อยยาก บากบั่นอดทน พูดเก่งรู้จริง เข้าใจเข้าถึงปัญหา ยึดความถูกต้อง น่าเห็นใจ” ครบเครื่องทุกเรื่อง สมบูรณ์อะไรปานนั้น

ซูเปอร์โพลของ ดร.นพดล ยังเสริมด้วยว่า ถ้าจำแนกกลุ่มคนที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ละก็ พวกสนใจการเมืองชอบใจลุงตูบมากกว่ากลุ่มไม่เอาไหน ในอัตรา ๖๙ เปอร์เซ็นต์ต่อ ๕๒ เปอร์เซ็นต์ หากแยกแยะด้วยการศึกษา พวกจบปริญญาที่ชอบประยุทธ์มีน้อยมาก แค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เทียบกับพวกวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีชูสองนิ้วให้บิ๊กตุ่นตั้ง ๖๘ เปอร์เซ็นต์

โพลกรรณิกาให้ความสำคัญกับกลุ่มสนับสนุนบิ๊กตู่จากสาขาอาชีพเป็นพิเศษ เพราะพบว่าในบรรดาอาชีพที่สนับสนุนหัวหน้ารัฐประหารคนนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักศึกษา พนักงานบริษัท นักธุรกิจค้าขาย ไปถึงเกษตรกร ตั้งแต่ ๗๓ เปอร์เซ็นต์ในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ลงไปต่ำสุดที่ ๕๘ เปอร์เซ็นต์จากเกษตรกรนั้น

ชี้สัญญาณที่น่าเป็นห่วง อาจเกิดแรงเสียดทานต่อการขับเคลื่อนประเทศ และเกิดภาพปรากฏของการไม่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลจากสาธารณชนได้


นพดลชี้แนะว่ากลุ่มเกษตรกร “ได้รับการดูแลยังไม่ดีเพียงพอจากมาตรการต่างๆของรัฐบาล มีการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้กลุ่มนายทุนภาคการเกษตรได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มเกษตรกรตัวจริง

มันลงตัวพอดีกับที่อิสระ สมชัย ปั่นหูนายกฯ ลุงตู่ไว้ด้วยว่า “บริวารรอบตัวของท่านเป็นพิษจริงๆ ขยันทำเรื่องให้นายกถูกด่า ขยันสร้างศัตรูให้นายกจริงๆ”

ปัดความชั่วไปให้ลิ่วล้อ เหมือนว่าพยายามจะแยกปลาพันธุ์ดีออกจากน้ำเน่า หรือจะเอาพันธุ์น้ำเค็มไปไว้น้ำกร่อยก็ไม่แน่

กรณีหลังนั่นน่าจะใช่ แต่ทว่าพันธุ์น้ำเค็มที่สิงสถิตย์ในน้ำกร่อยได้ดีอย่างวายร้ายไม่ใช่พวกปลา มันเป็นพวก ไอ้เข้ ตะหาก

*หมายเหตุ :อุมเมสห์ แพนดีย์ บรรณาธิการบางกอกโพสต์เขียนบทความเรื่อง “ความตอแหลของสองมาตรฐาน” ชี้ว่าหลังการตัดสินจำคุก ๕ ปีคดียิ่งลักษณ์ได้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง รัฐบาลทหารออกกฏใหม่ให้ผู้ถูกตัดสินลงโทษจะยื่นอุทธรณ์ได้ต้องไปปรากฏตัวต่อศาล ซ้ำยังยืดอายุความของคดีไปยาวตลอดชีวิต

“ในประเทศอื่นๆ ทั้งหลายส่วนใหญ่ กฎหมายใหม่ๆ จะมีผลบังคับเฉพาะหลังจากประกาศใช้ แต่นี่ประเทศไทย และในคดียิ่งลักษณ์ กฎหมายมีผลย้อนหลังได้”

“คดีนี้สร้างข้อกังขามากเสียยิ่งกว่าคำตอบที่ได้รับ คนทั่วไปบนท้องถนนเชื่อว่ากฎระเบียบที่ออกมาเหล่านี้มีเป้าหมายอย่างเดียวในการกดหัวพรรคเพื่อไทยที่เคยยิ่งใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้น เป็นการโบกปูนให้ถาวรเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ว่า พรรคการเมืองอื่นๆ ได้รับความสะดวกจะทำอะไรตามพอใจได้ ดดยที่ผู้นำและสมาชิกพรรคไม่ต้องถูกดำเนินคดี แม้แต่ในกรรีที่กระทำผิดกฎหมาย”

เขายกตัวอย่างคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกข้อหากระทำผิดอาญาตามมาตรา ๑๕๗ ในดครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ ๓๙๖ แห่งมูลค่า ๖,๖๗๐ ล้านบาท ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

“คดีนี้ซึ่งเริ่มก่อนคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์เนิ่นนาน ก็ยังคงลากยาวกันต่อไป ไม่มีใครรู้เรื่องความคืบหน้ามาตั้งแต่ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โน่นแล้ว”

หลังจากที่สุเทพสามารถเขี่ยวิชา มหาคุณ ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีเขา ออกจากตำแหน่งรองประธานกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดของนายสุเทพได้แล้ว คณะกรรมการแถลงว่าคดีนี้ซับซ้อนมากกว่าคดีของนายบุญทรงและยิ่งลักษณ์

“นี่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ผู้มีอำนาจเสาะหาข้อแก้ตัวต่างๆ นานา เพื่อที่จะเดินหน้าคดีด้วยความเร็วของหอยทาก...”

แต่ในสายตาสาธารณะชน นี่เป็นเรื่องที่รู้กันมานานนมกาเลแล้วว่า มันคือการใช้สองมาตรฐานซ้อนกัน

(http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/1334331/hypocrisy-of-double-standards)