วันศุกร์, ตุลาคม 27, 2560

ในสังคมที่แบ่งแยกฝังลึก วิธีการ ‘ใครชนะกินรวบ’ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป (แถมภาพตลบท้าย 'ควันหลง' หลังควันไฟพระบรมศพ)

เสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ พสกนิกรผ่านพ้น ความฝันอันสูงสุด กลับเข้าสู่ฝันกลางวันอันเป็นจริง

นอกเหนือจากธรรมชาติอันไม่แปรปรวนพาฝนมาถึงกลางกรุงวันนี้ (๒๗ ต.ค.) แล้วก็ “ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของความไม่แน่นอน ในประเทศที่หมักหมมไปด้วยความซ้ำซาก แห่งการไร้เสถียรภาพและวัฒนธรรมการเมืองที่แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย”

ดังถ้อยวิจารณ์ของ ดร.ไนเจิล กูลด์-เดวี่ส์ สมาชิกแห่งสถาบันการศึกษาสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่สอง เพื่อภาวะผู้นำในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ณ ชัทแธมเฮ้าส์ สหราชอาณาจักร เอ่ยไว้ในบทความตีพิมพ์เมื่อ ๒๕ ตุลาคม

ผู้เขียนชี้ว่าเกิดคำถามที่มีปฏิภาคต่อกันขึ้นมาสองข้อ ทั้งคู่จะก่อผลกระทบอย่างสำคัญยิ่งกับเสถียรภาพและการปกครองของประเทศไทย ประการแรกเกี่ยวข้องความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับทหาร จะมีพัฒนาการไปในทางใดภายใต้พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่

“ประการที่สองคือผลกระทบจากพัฒนาการในความสัมพันธ์ดังกล่าวข้างต้นนั้น จะมีต่อความมั่นคงทางสังคมและความคาดหมายที่ประเทศจะได้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างไร”


สำหรับข้อแรกนั้น ดร.ไนเจิลอ้างว่าในรัชกาลที่แล้วความสัมพันธ์นี้มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มองเห็นได้เด่นชัด หากแต่ฟักตัวภายใต้กาลเวลาท่ามกลางผลพวงแห่งลำดับความจำเป็น การต่อรองในทางลับ และพลังของปรากฏการณ์เฉพาะหน้า

ในรัชกาลนี้ “มีสัญญานปรากฏให้เห็นแล้วว่าสถาบันกษัตริย์กับกองทัพ จำเป็นต้องหาเวลาทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน”

การที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ มิได้ทรงรับคำกราบบังคมทูลจาก คสช. ให้เสด็จขึ้นทรงราชย์ในทันที แต่ทรงยืดเวลาออกไปสองเดือน กับการที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้แก้ไขบัญญัติในรัฐธรรมนูญใหม่บางประการ (ซึ่ง คสช. ก็น้อมถวาย) แม้นว่ารัฐธรรมนูญจะได้ผ่านการประชามติแล้วนั้น

“การที่ทรงแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจตั้งแต่แรกเริ่มเช่นนี้” บทความชี้ “อาจนำมาซึ่งยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการต่อรองในขอบข่ายและอิทธิพลที่เกี่ยวเนื่องกันของสถาบันกษัตริย์กับกองทัพ”

ข้อสอง “ความชอบธรรมแห่งพระราชอำนาจ จะยังคงมีบทบาทหลักในการผสานรอยแตกแยกในสังคมแบ่งขั้วอีกต่อไปหรือไม่

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาชนชั้นกลางชาวกรุง เสื้อเหลืองมักจะป้ายสีคนชนบทภาคเหนือ เสื้อแดง ฝ่ายตรงข้าม ว่าต่อต้านกษัตริย์ ข้อกล่าวหาที่ฝ่ายนี้ปฏิเสธ

หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดพยายามที่จะใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือของตนในการเมืองแบ่งขั้วนี้ จะยิ่งแจ้งชัดเข้าไปอีกว่าสังคมนี้สั่นคลอน”

บทความกล่าวถึงท่าทีของกองทัพในอันที่จะยืดเวลาการครองอำนาจต่อไปอีกหน่อย เพื่อความมั่นใจว่าสถาบันหลักๆ ของชนชั้นนำ (กษัตริย์ ทหาร ข้าราชการ และการเงิน) ยังคงไว้ซึ่งอิทธิพลต่อไปอย่างเหนียวแน่น

“กองทัพอาจหาเหตุอื่นๆ มาอ้างเพื่อยืดเวลาการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยออกไป หลังจากที่เลื่อนกำหนดมาแล้วหลายครั้ง เพราะการเลือกตั้งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนแก่พวกตน” หนำซ้ำฝ่ายตรงข้ามมักชนะเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ โน่นละ

ดร.ไนเจิลตั้งข้อสังเกตุด้วยว่าผลกระทบหลังการเปลี่ยนผ่านอาจมาจากเบื้องล่างก็ได้ “ตลอดแรมปีที่ผ่านมาพวกเสื้อแดงสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันมาตลอด แม้แต่เมื่ออดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหนีออกไปนอกประเทศจากการถูกคุมขัง”

บทความอ้างมีข้อคิดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้และกำลังขยายวงออกไปว่า เสร็จจากช่วงเวลาไว้อาลัยในหลวงองค์ก่อนแล้ว เสื้อแดงจะเริ่มรวมตัวเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งกันอีก แต่ในเมื่อปราศจากผลการหยั่งเสียงใดที่เชื่อถือได้ ทำให้ไม่สามารถวัดพลังของพวกนี้ได้แน่นอน

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดหวังสำหรับปีนี้ ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ ก็ส่งผลลงไปถึงชนชั้นล่าง (trickled down) ได้แต่เพียงน้อยนิด ในทางตรงกันข้าม นับแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นต้นมา ความมั่งมีเพิ่มขึ้น ๑/๖ ในหมู่ชนชั้นนำ เช่นเดียวกับงบประมาณทหาร ตามรายงานของฟอร์บ

“ในสังคมที่มีการแบ่งแยกอย่างฝังลึกเช่นนี้ การแก้ปัญหาด้วยหลักการ ใครชนะกินรวบหรือ ‘winner-take-all’ ที่เคยทำกันมาตลอดในสังคมไทยใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” บทวิจารณ์จากชัทแธมเฮ้าส์เตือน

มิฉะนั้นความแตกแยกร้าวฉานในสังคมจะก่อผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยหนักเข้าไปใหญ่


(หมายเหตุ :ภาพประกอบ ควันหลงแทรกและตลบท้ายควันไฟพระบรมศพเหนือพระเมรุมาศ)