วันเสาร์, ตุลาคม 21, 2560

มายาคติเกี่ยวกับโรฮิงญา :ชำนาญ จันทร์เรือง

ในฐานะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (human rights defender) คนหนึ่ง ซึ่งมักจะได้รับการสอบถาม ประชดประชัน แดกดัน ต่อว่า ด่าตรงๆ ฯลฯ อยู่เสมอ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวปกป้องและเรียกร้องให้มีการปฎิบัติเยี่ยงมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญา โดยผู้ที่มีทัศนคติทางลบต่อชาวโรฮิงญามักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหลายๆ ประการ จนเป็นมายาคติฝังลึก

ในการนี้เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ (Coalition for Rights of Refugee an Stateless Person - CRSP) ซึ่งประกอบไปด้วยหลายองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ได้จัดทำคำถามคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยหรือมายาคติที่มีต่อชาวโรฮิงญาว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร โดยคัดมาจากความคิดเห็นจริงในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าวจากเอกสาร “Freedom” ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย มาเสนอพร้อมกับความคิดเห็นส่วนตัวของผมเพิ่มเติมในคำตอบ ดังนี้

๑) เขาพูดกันว่า “ปัญหาโรฮิงญา ทำไมไทยต้องมารับกรรม”
    ความจริง :
          ผู้อพยพชาวโรฮิงญาหลบหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และทุกประเทศมี “หน้าที่”ตามพันธกรณีระหว่างประเทศในการปกป้อง นอกจากไทยแล้วยังมีหลายประเทศที่ให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญา เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตุรกี ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะเดียวกันผู้อพยพโรฮิงญาบางกลุ่มในประเทศไทย เกิดจากขบวนการค้ามนุษย์ในไทยหลอกลวงและชักจูงเข้ามา

๒) เขาพูดกันว่า “เขาให้มาอาศัยพักพิงก็บุญหัวจะตายแล้วล่ะ ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เจ้าหน้าที่อีก”
    ความจริง :
          ห้องกักกันในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล และการกักขังส่วนใหญ่ดำเนินไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา บางห้องอาจมีชาวโรฮิงญาถึง ๒๐๐ คน ห้องน้ำห้องหนึ่งอาจต้องใช้ร่วมกันถึง ๔๐ คน หลายคนขาดสารอาหารและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในห้องกัก จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงต้องพยายามหลบหนีออกมา

๓) เขาพูดกันว่า “ข้าวฟรี ที่อยู่ฟรี ภาษีไม่ต้องเสีย ยังเรียกร้องขนาดนี้”
    ความจริง :
          พบว่าชาวโรฮิงญาหลายคนได้กินเพียงข้าวกับแตงกวา ข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นเพียงต้องการพบหน้ากับครอบครัว รู้ระยะเวลาที่แน่นอนในการถูกกัก ซึ่งไม่ได้มีความต้องการแตกต่างหรือมีความต้องการการดูแลที่ดีกว่าผู้ถูกกักกันอื่น แต่อย่างใด

๔) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาเป็นประชากรที่ไม่มีคุณภาพ กิน ขี้ ปี้ นอน ไม่ยอมคุมกำเนิด ไม่ใช่เป็นแรงงานที่มีคุณภาพที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้”
    ความจริง :
          รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็นพลเมือง ชาวโรฮิงญาจึงไม่มีสิทธิสถานะใดๆ รวมทั้งต้องขออนุญาตในการเดินทาง ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิอย่างที่สุด เป็นเหตุให้ชาวโรฮิงญาไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองได้เลย
๕) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาเข้าพม่าครั้งแรก ๕ หมื่นคน ตอนนี้แพร่พันธุ์ออกลูกเป็น ๒ ล้านคน”
    ความจริง :
          ชาวโรฮิงญาอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ ก่อนจะเป็นรัฐยะไข่ในปัจจุบัน พื้นที่ตรงนั้นรู้จักกันในนาม อาระกัน ก่อนที่จะมีการก่อตั้งประเทศพม่าเสียอีก ภายหลังจากการรัฐประหารปี 1962 ในพม่า ประชาชนทุกคนถูกบังคับว่าต้องมีบัตรแสดงตัวตน แต่ชาวโรฮิงญาพวกเขาได้รับพิจารณาให้ถือแค่บัตรที่ระบุว่า เป็นคนต่างชาติ ซึ่งการที่รัฐบาลพม่าไม่ให้สัญชาติและการปฏิเสธสถานะชาติพันธุ์โรฮิงญา ทำให้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงจำนวนของชาวโรฮิงญา ในปัจจุบันอัตราการตายของเด็กแรกเกิดชาวโรฮิงญาสูงเป็น ๒ เท่าของอัตราเฉลี่ยทั่วโลก และอัตราการตายของเด็กชาวโรฮิงญาที่อายุต่ำกว่า ๕ ขวบ เป็น ๒ เท่าของอัตราการตายเฉลี่ยของประเทศพม่า

๖) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาสร้างแต่ปัญหา”
    ความจริง :
          การปะทะระหว่างชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่ในปี ๒๕๕๕ ทำให้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญากว่าแสนคนต้องหลบหนีอยู่ภายในพม่า ที่ผ่านๆ มาทุกปีชาวโรฮิงญาต้องหนีออกจากพม่านับแสนคน ล่าสุดตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี ๒๕๖๐ นี้ ชาวโรฮิงญาต้องอพยพข้ามพรมแดนไปลี้ภัยในบังคลาเทศกว่า ๕ แสนคน

มิหนำซ้ำจากรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่ากองทัพพม่าวางทุ่นระเบิดสังหารไว้ในบริเวณชายแดน เพื่อกันมิให้ชาวโรฮิงญากลับมายังบ้านเรือนของตนเองที่บางส่วนถูกเผาทิ้งได้อีก ที่น่าเศร้าก็คือองค์การแพทย์ไร้พรมแดนที่ต้องการช่วยเหลือชาวโรฮิงญาในพม่า ยังถูกขับไล่ออกจากพื้นที่โดยชาวยะไข่อีกด้วย

ในจดหมายเปิดผนึกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลฉบับล่าสุด ที่มีถึงประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ผู้นำประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวโรฮิงญา โดยเรียกร้องให้อาเซียนจัดประชุมสุดยอดฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหานี้

เพราะที่ผ่านมาอาเซียนแสดงท่าทีต่อกรณีนี้ โดยออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาที่เบามากฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐ เกือบหนึ่งเดือนหลังความโหดร้ายในรัฐยะไข่อุบัติขึ้น โดยอาเซียนได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณดังกล่าว แต่หลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า“โรฮิงญา”แต่อย่างใด

นอกจากปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว หากเรายังขืนปล่อยให้ปัญหาโรฮิงญาทวีความร้ายแรงเกิดขึ้นจนถึงกับมีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้แล้ว ปัญหาก็ยิ่งจะเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นไปอีก อาจกลายเป็นเงื่อนไขและโอกาสที่ขบวนการก่อการร้ายเข้ามาแทรกแซง

และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงต้องเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าในภูมิภาคนี้ซึ่งก็ย่อมรวมถึงไทยเราเองด้วย

กล่าวโดยสรุป โรฮิงญาก็คือมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคน ที่จะต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นที่มนุษย์ทั้งหลายควรต้องปฏิบัติต่อกัน เรารักชีวิต โรฮิงญาก็รักชีวิตเช่นกัน ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนาหรือถิ่นกำเนิดไม่สามารถลดทอน “สิทธิมนุษยชน”ลงได้ครับ
_____

 หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐