บันทึกนักโทษคดีการเมือง ตอนที่ 5 :น้องใหม่ ต้องเจอรับน้องอะไรบ้าง? ตอนที่ย่างก้าวเข้าสู่ประตูคุก
มันเป็นคืนวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม ทางปอท.บอกกับผมอย่างสุภาพว่า ต้องส่งท่านไปขึ้นศาลในวันจันทร์ที่
2 มิถุนายน บังเอิญว่าที่นี่ก็ไม่มีที่พักเลยจะส่งไปฝากขังที่สน.ทุ่งสองห้องก่อนพลางๆ
ซัก 2 คืน
หลังจากที่ผมไม่ได้ใช้โทรศัพท์มานาน 7 วัน พอมาอยู่ในความควบคุมของตำรวจ ดูจะผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว
เลยขอยืมมือถือพันตำรวจโทเจ้าของคดีใช้โทรศัพท์ติดต่อที่จำเป็น
ผมโทรแจ้งข่าวภรรยาว่าโดนดำเนินคดี ให้แจ้งข่าวพรรคพวกบางคนมาพบหน่อยในวันรุ่งขึ้น
คืนนั้นผมถูกส่งตัวไปนอนค้างคืนในห้องขังแคบๆ
ของสน.ทุ่งสองห้อง เท่าที่ดูห้องขังข้างๆ กันนั้น
บรรจุไปด้วยพวกเมาแล้วขับกันทั้งสิ้น
ที่น่าสยองหน่อยก็คือห้องสุขาสุดโสโครกนั้น
มีหนูตัวเบ้อเร่อโผล่พรวดขึ้นมาระหว่างจะเข้าไปทำธุระ
รุ่งเช้าภรรยาผมมาพร้อมกับทนายความและพรรคพวกที่ผมอยากคุยด้วย
เมื่อเดือนก่อนเขาเพิ่งเปิดตัวพรรคการเมืองพรรคใหม่ที่มีแนวนโยบายเสรีนิยมอย่างที่สุด
เป็นที่ชื่นชมของบรรดานักวิชาการหัวก้าวหน้าอย่างดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และรายของศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
นั้นถึงกับมากล่าวปาฐกถาเปิดตัวพรรคการเมืองนี้ให้ด้วยตนเอง
หนึ่งในแคมเปญที่พรรคการเมืองนี้รณรงค์คือ ควรต้องมีการปฎิรูปมาตรา
112 เสียใหม่ ไม่ให้เหวี่ยงแหเอาผิดใครต่อใครง่ายเกินไป
ชนิดที่ว่าใครอยากจะกล่าวหาใครว่ากระทำผิดมาตรา 112 ก็ได้ง่ายๆ
และกระบวนการพิจารณาคดีนั้นสมควรต้องปฏิรูปขนานใหญ่
ผมแจ้งเขาผ่านกรงขังว่า มาตรา 112 นั้นมันมาใกล้ตัวกว่าที่คิด จากที่เราเคยรณรงค์ปฏิรูป
ตอนนี้ก็ต้องมาโดนซะเอง ในบรรยากาศบ้านเมืองที่ปกตินั้นก็คงเห็นอยู่หละว่า การจะลากข้อกฎหมายมาให้มันมาลงโทษผมนั้น
คงลากเข้ามายากมาก แต่พอสถานการณ์รัฐประหาร มันก็ทำกันได้แบบที่เห็น
คือเรื่องที่ผมนำมาเผยแพร่ซ้ำในไทยอีนิวส์นั้น
ขั้นแรกก็ได้กลั่นกรองตัดชื่อ
ตำแหน่งบุคคลที่เกี่ยวข้องออกก่อนเผยแพร่แล้ว..แต่ทางปอท.ก็บอกว่า
หากคนสืบค้นกลับไปที่ต้นฉบับก็ย่อมรู้ว่าที่ตัดออกนั้นคือใคร...เพราะฉะนั้นผิด
ขั้นต่อมาเรื่องนี้เผยแพร่ไว้ตั้งแต่ต้นปี 2554
ทางคณะรัฐประหารก็ออกกฎหมายในวันที่จับกุมผมคือ 25พฤษภาคม 2557 ย้อนหลังไป 3 ปี
ให้ต้องเปลี่ยนจากศาลอาญามาเป็นศาลทหารมาดำเนินคดีกับผม...
โดยอ้างว่า ไม่รู้หละก็ในเมื่อข่าว
บทความที่เผยแพร่นั้น แม้จะลงไว้นาน 3 ปีกว่าแล้ว
แต่มันก็ยังปรากฎอยู่ในอินเตอร์เน็ตมาถึงวันที่มีประกาศให้ย้ายมาขึ้นศาลทหาร...ดังนั้นไม่ถือว่าเล่นงานกันย้อนหลัง..!?
"ผมเห็นชะตากรรมของผมชัดเจนว่าลำบาก
ผมไม่ได้ขอให้คุณทำอะไร แต่ให้รู้ว่านี่ยิ่งเป็นเรื่องที่คุณควรตระหนักว่าต้องแคมเปญเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อไป"
เขาเองถูกเรียกไปรายงานตัวกับคสช.ในอีกไม่กี่วันถัดมา...ไม่รู้เพราะความที่ครอบครัวเขาเป็นทหาร
มีพ่อเป็นพลเอกหรือเปล่า หัวหน้าพรรคการเมืองที่เสรีนิยมที่สุดรายนี้ได้กลายมาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.ในเวลาต่อมา
โดยที่เขายังมีโอกาสรณรงค์ทางการเมืองผ่านสื่อต่างๆ อยู่บ้างในยามที่จำเป็น
ผมติดต่อหาพรรคพวกอีก 3 รายเพื่อแจ้งเรื่องนี้ รายหนึ่งเป็นนายตำรวจยศพลตำรวจตรี ซึ่งเคยแสดงให้ปรากฎอย่างชัดเจนกับผมว่าตัวเขา
‘แดงมาก’...เขาดูตกใจมาก
และให้คำแนะนำกับผมว่าควรจะลู่ตามลมแรงไปก่อน
ในเวลาต่อมาเขาได้รับการโปรโมตขึ้นเป็นผู้บัญชาการภาค
ในทางภาคเหนือของประเทศไทย
อีกรายเป็นนายทหารยศพลโท
เขาแสดงความกระตือรือร้นว่าอยากช่วยให้ผมได้ประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดี...เขาเป็นนายทหารที่ทำงานด้านมวลชนมาตลอด
ล่าสุดคือ 10 ปีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในเวลาต่อมาเขาได้รับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานด้านการปรองดอง
และมีส่วนสำคัญให้ ‘ดา ตอร์ปิโด’ ได้พ้นจากคุก หลังจากโดนคุมขังมานานมากกว่า 7 ปี
เพื่อเป็นบันไดไปสู่การปรองดอง...
แต่นโยบายของคณะรัฐประหารเปลี่ยนปุบปับ
เขาถูกเปลี่ยนตัวให้พ้นตำแหน่งในเวลาไม่นานนัก กลับ 3 จชต.ก็ไม่ได้ เพราะโดนยึดตำแหน่งไปแล้ว เลยต้องลอยเคว้ง
ผมไปเจอและรู้จักทั้งสองนายพลในช่วงที่เคยไปเรียนหลักสูตรที่ผู้บริหารระดับสูงในวงราชการ
พวกนายพล ส.ส. ส.ว. รัฐมนตรี พ่อค้านักธุรกิจใหญ่ๆ มักจะมาเรียนกัน
เพื่อสานสร้างความสัมพันธ์ หรือสร้างคอนเน็กชั่นกัน...
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พิสูจน์ความเชื่อที่ว่า
เพื่อนตำรวจนั้่นพึ่งได้ยาก เพื่อนทหารนั้นใจถึงพึ่งได้
อีกรายหนึ่งเป็นนักการเมืองที่มีมิตรไมตรีสนิทกันกับผมมานานมากกว่า
30 ปี แต่ทัศนะทางการเมืองของเราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผมบอกเขาว่าผมอาจติดคุกนาน 2 ปีครึ่งหรืออาจ 5 ถึง 10 ปี ช่วยส่งข่าวถึงแม่ผมเป็นระยะๆ ว่าผมยังมีชีวิตอยู่
มีหลักฐานอะไรไปให้แม่ผมดูบ้างปีละครั้ง
ให้ช่วยบอกว่าผมลี้ภัยอยู่ต่างประเทศที่ปลอดภัย...เขารับปากว่าไว้วางใจเขาได้
ผมกำชับว่าอย่ามาเยี่ยมผม
เพราะคุณจะซวยไปด้วย...เขาเลยไปบอกนักการเมืองอีกรายที่มีพรรษาอาวุโสสูง
เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งผมก็รู้จักกับเขา (และเป็นอีกรายที่มีทัศนะทางการเมืองต่างจากผมคนละขั้ว)...นักการเมืองรายนี้ก็มาเยี่ยมผมในคุก
2 หน
เขามาเล่าให้ฟังทีหลังว่า
เขาโดนเจ้าหน้าที่ติดตามหลังจากเยี่ยมผมไปแล้ว จนต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาบอกว่า
เขามีทัศนะทางการเมืองต่างจากผมมาก แต่ความที่รู้จักกันมานาน ก็อดห่วงสวัสดิภาพเพื่อนเก่าไม่ได้
เลยมาส่งข้าวน้ำให้กำลังใจกันหน่อยเท่านั้นเอง กับมาฝากฝังเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าอย่าปล่อยให้ย่ำแย่อนาถา
หรือกลั่นแกล้งให้ได้รับความลำบากเกินไปนัก...เจ้่าหน้าที่เข้าใจก็เลยเลิกสะกดรอยตามเขา
...
วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2557 ตอนที่ผมถูกส่งไปศาลนั้น หัวหน้าผู้ควบคุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ประจำศาลอาญา (ตอนแรกตำรวจยังงงๆ เลยส่งผมไปศาลอาญาก่อน ทางศาลก็รับคดีผมไว้แบบงงๆ) ก็เรียกผมเข้าไปพบในห้องแล้วไหว้สวัสดีผม บอกว่ารู้จักผมมานาน จนไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคดีแบบนี้
ผมก็บอกว่าไม่ใช่แต่ท่านหัวหน้าผู้คุมจะไม่เชื่อ
ผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่มันก็โดนไปแล้ว บรรยากาศหลังการรัฐประหารอะไรๆ ก็คงเกิดขึ้นได้
แต่เจตนาจริงผมว่าทางคณะรัฐประหารคงอยากปิดปากสื่อฝ่ายที่ต่อต้านคัดค้านรัฐประหาร...(ซึ่งก็ไม่เห็นจะได้ผลอะไร
เพราะจับผมมา พรรคพวกมิตรสหายของผมที่ไม่โดนจับกุมคุมขัง ก็ยังเผยแพร่ข่าวสารต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการทหารต่อไป)
หัวหน้าผู้คุมให้เกียรติกับผมด้วยดี
คือพาไปนั่งพักในห้องทำงานของเขา ตอนจะส่งตัวขึ้นรถขนนักโทษไปคุก
ก็อนุโลมให้ไม่ต้องล่ามโซ่ที่แขนที่ขาของผมแบบนักโทษรายอื่นๆ แค่สวมกุญแจมือเล็กๆ อันหนึ่ง
โดยก่อนสวมก็ยกมือไหว้ขออภัยด้วย
รถขนนักโทษออกจากศาลอาญาไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ซึ่งที่นั้นผมก็ไม่เหลืออะไรที่พิเศษแล้ว
ต้องปฏิบัติตัวเหมือนนักโทษทั่วไปทุกประการ
สิ่งแรกที่คุกต้อนรับน้องใหม่
คือให้เจ้าหน้าที่ตัดกางเกงขายาวที่นักโทษสวมไปให้เหลือเป็นกางเกงขาสั้น...ในคุกนั้นใครใส่ขาสั้นคือคนที่ไร้เสรี
ไม่มีอิสรภาพ ส่วนพวกนุ่งขายาวคือผู้คุม หรืออิสรเสรีชนที่มาติดต่อราชการกับทางคุก
พอตัดขากางเกงแล้ว ก็ต้อนไปเข้าช่องหนึ่งคล้ายๆ
ช่องต้อนควาย สั่งให้รูดกางเกงลงให้หมดทุกคน รวมทั้งกางเกงในด้วย
แล้วเจ้าหน้าที่เอาไฟส่องก้น ถ้าจำเป็นก็อาจต้องเจอควานก้น
นัยว่าเพื่อตรวจหาสารเสพติดที่เกรงว่าจะมีการแอบสอดใส่ก้นเข้าไปในคุก
เป็นธรรมเนียมว่าต้องเจอรับน้องใหม่กันแบบนี้ทุกคน
ไม่ว่าคุณจะ ‘เคย’ เป็นใคร
เคยเป็นนายพล เคยเป็นส.ส. รัฐมนตรี เจ้าพ่ออ่างแบบชูวิทย์
หรือพิธีกรคนเล่าข่าวแห่งยุคแบบสรยุทธ สุทัศนะจินดา ก็ตาม
นัยหนึ่งก็คือ คุณจะเป็นใครซักคนที่มาจากโลกภายนอกก็ตาม
แต่ผ่านประตูคุกเข้าไป ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของคุณจะสูญหาย หรือถูกลดทอนลงทันที
ผมก้าวผ่านประตูคุกเข้าไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น...