วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 26, 2560

ภาพลักษณ์สดใส แต่เศรษฐกิจไทยอีกนานฟื้น นิเคอิเขาว่า

“คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว เศรษฐกิจของประเทศไทยจึงจะฟื้นตัวเต็มที่” บทความ นิคเคอิวิเคราะห์สุขภาพไตแลนเดียขณะนี้ ทั้งที่มีสัญญานการเติบโตให้เห็นบ้างแล้วในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

“ดัชนีชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างหนึ่งก็คือ การส่งออก ที่เพิ่มขึ้น ๑๒.๒ เปอร์เซ็นต์ มาเป็นมูลค่า ๗๑๙,๔๐๐ ล้านบาทเมื่อเดือนกันยายน อันเป็นเดือนที่ ๗ ของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงจากการส่งออกไปสู่จีนเพิ่มขึ้น ๑๒ เปอร์เซ็นต์ในปีนี้”


ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เมื่อเดือนที่แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศยกระดับประมาณการจีดีพีสำหรับปี ๖๑ และ ๖๒ ไปเป็น ๓.๘ เปอร์เซ็นต์ จากเดิมซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ ๓.๕ และ ๓.๗ ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ทั้งที่การส่งออกกระเตื้อง แต่นักวิเคราะห์นิคเคอิกลับบอกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ลืมตาอ้าปาก ก็เพราะตัวเลขผลประกอบการของสี่แบ๊งค์ใหญ่ๆ ของไทย ลดลงติดต่อกันมาเป็นไตรมาสที่สองเข้านี่แล้ว อัตรากำไรหดตัวเมื่อเดือนกรกฎา-สิงหาที่ผ่านมาอยู่ที่ ๑๔ เปอร์เซ็นต์

ธนาคารกรุงเทพฯธนาคารกรุงไทยธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกสิกร แจ้งผลประกอบการสะสมสุทธิอยู่ที ๓๓,๖๐๐ ล้านบาท ตามรายงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ ๑๙-๒๐ ตุลาคม

มีธนาคารกรุงเทพฯ แห่งเดียวที่เห้นกำไรในไตรมาสนี้ แต่ก็เพิ่มขึ้นแค่ ๑.๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นสถาบันการเงินของรัฐนั้นรายได้ลดลงไปถึง ๓๒ เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะมีหนี้เสียก้อนใหญ่

บทความนิคเคอิซึ่งเขียนโดย ยูกาโกะ โอโนะ เผยว่าในไตรมาสที่สองของปีนี้ธนาคารกรุงไทยโอนเงินไปอุดหนี้เงินกู้ของ เอเนอร์จี้เอิ๊ร์ธบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายถ่านหินในประเทศไทย เป็นมูลค่าถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากกรุงไทยเป็นผู้คำประกันหลักของเอเนอร์จี้เอิ๊ร์ธ

นั่นทำให้หนี้เสียรวมของธนาคารกรุงไทยอยู่ที่ ๙๘,๐๐๐ ล้านเมื่อสิ้นเดือนกันยายน มากที่สุดในบรรดาสี่แบ๊งค์ใหญ่ของไทย นิคเคอิบอกว่าอัตราเพิ่มของหนี้เสียกรุงไทยเวลานี้อยู่ที่ ๑๓.๘ เปอร์เซ็นต์

เป็นที่ทราบกันว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. พยายามโหมหนักทั้งจากปากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นแน่ในปีหน้า “เราเดินมาถูกทางแล้ว” ขณะที่ในระดับชาวบ้านเห็นกันแต่ข้าวยากหมากแพง การค้าปลีกกำลัง ตายหยังเขียดงานบริการหงอยเหงา กระทั่ง หมอนวด(แผนทันด่วน) ยังต้องนั่งตบยุง

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่ซื่อตรงต่อข้อมูลความเป็นจริงสรุปว่า สถานการณ์เช่นนี้ของเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” นั่นคือกิจการที่ทำกำไรเป็นบรรดาทุนใหญ่ ซีพี ไทยเบฟ สหพัฒน์ ฯลฯ เหล่านี้ที่ คสช. ดึงเข้าไปเป็นหุ้นส่วนประชารัฐ พากันขายคล่อง ในขณะที่ธุรกิจรากหญ้า โชห่วย ซาเล้ง ล้วนกินแกลบ

ธนวัตร เรือนบันเทิง นักวิเคราะห์การเงินประจำเมย์แบ๊งค์ กิมเอ็ง เซเคียวริตี้ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นกับนิคเคอิว่า “พวกธนาคารระมัดระวังกันมากเวลาพิจารณาปล่อยกู้ ทั้งที่มีกระแสเงินสะพัดอยู่เต็มเปี่ยม”

เพราะพวกธนาคารเหล่านั้นรอให้เศรษฐกิจ ‘trickle-down’* ผลกำไรหล่นจากหิ้ง เมื่อทุนใหญ่อิ่มตัวแล้วจะหล่นไหลลงไปหาทุนเล็กและธุรกิจรากหญ้า เมื่อนั้นการตื่นตัวทางธุรกิจจึงจะเริ่มขยับเขยื้อนกันใหม่ ซึ่งในสถานการณ์ของไทยคาดว่าคงอีกนานพอดู

ความโศกาอาดูรจากการไว้ทุกข์ของพสกนิกรเป็นเวลาหนึ่งปีกำลังจะผ่อนคลายลงเมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงในหลวงองค์ก่อน “แต่ไม่ได้หมายความว่าท้องฟ้าแจ่มใสทางเศรษฐกิจจะตามมา” นิคเคอิว่า

“ราชพิธีราชาภิเษกในหลวงองค์ปัจจุบันอาจทำให้บรรยากาศกระชุ่มกระชวยขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอนเมื่อไร” ข้อสำคัญหากจะมีเลือกตั้งปลายปีหน้า น่าจะมีการอัดฉีดชุดใหญ่กันอีกครั้ง คงทำให้ภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทยดูสดใสอีกหน

เพียงแต่ว่า คสช. อัดฉีดมาหลายหนแล้ว ทั้งให้พวกทหารที่ร่วมในการยึดอำนาจ พวก สนช. สปท. กรธ. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (ผู้น้อยเขาบอกรอหน่อย) ที่อัดฉีดฐานรากก็มี ให้บัตรเครดิตซื้อของ ธงฟ้าอากู๋ เจ้าสัว ร้องฮ้อกันอยู่เดี๋ยวนี้

ดูท่าเงินกองคลังสำหรับจับจ่ายรายวันจะหดหายไปเยอะ ขูดเลือดปูไปแล้วได้ไม่เท่าไหร่ กำลังจะถอนขนห่านโอ๊คก็คงได้ไม่มาก ภาษีบาปก็เก็บแล้ว ปีนี้งดจ่ายประกบกองทุนประกันสังคมยังไม่พอ

กำลังทำท่าจะปรับอัตราหักสะสมเพิ่ม ไม่รู้จะพอให้ คสช.เอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่อีกไหมนี่