นิธิ เอียวศรีวงศ์ : อดีตในอนาคต
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 ก.พ. 59
ที่มา มติชนออนไลน์
หลังจากที่จากไปเป็นเวลา 5 ปี ผมกลับถึงเมืองไทยในปลาย พ.ศ.2518 คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ บอกผมว่า หนังสือประวัติศาสตร์กำลังขายดี ไม่ว่าจะเป็นงานเก่าหรืองานใหม่ เพราะผู้คนพากันสนใจประวัติศาสตร์อย่างมาก ผมคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้ยังดำรงอยู่สืบมาตลอดทศวรรษ 2520 และคงเริ่มซาลงในทศวรรษ 2530
ทำไม? คำตอบที่ผมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณสุจิตต์ก็คือ 14 ตุลา นำมาซึ่งความใส่ใจต่ออดีต และเหตุที่ใส่ใจต่ออดีตก็เพราะคนไทยกำลังคิดวางเส้นทางอนาคตของสังคมตนเอง ความทรงจำทำให้เรามีสมรรถภาพที่จะวางอนาคต แต่ในขณะเดียวกันความทรงจำก็ไม่ใช่สิ่งที่ลอยมาจากอดีตล้วนๆ แต่ถูกกำหนดขึ้นจากความใฝ่ฝันถึงอนาคตที่เราต้องการด้วย (ก๊อบความคิดนี้จาก Rosalind Shaw, "Provocation : Futurizing Memory," Cultural Anthropology Website, September 05, 2013.)
เหตุผลนี้อธิบายได้ด้วยว่า ทำไมถึงซาลงในทศวรรษ 2530 เพราะถึงช่วงนั้น โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจเฟื่องฟูในสมัยรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ คนไทยให้ความใส่ใจต่ออนาคตน้อยลง แต่กำลังตื่นเต้นและวางแผนกับปัจจุบันมากกว่า จึงไม่ต้องการความทรงจำเกี่ยวกับอดีตอีก และงานประวัติศาสตร์เริ่มขายไม่ดีในตลาดดังที่ผ่านมา
มองจากหลักการอันนี้คือ เมื่อไรที่เราเห็นโอกาสจะวางอนาคตใหม่ เมื่อนั้นเราจะหันกลับไปทบทวนความจำเกี่ยวกับอดีต ด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงแน่ใจว่าสังคมไทยคงไม่ได้คิดวาดอนาคตใหม่เป็นครั้งแรกเมื่อหลัง 14 ตุลาแน่ มีจังหวะเวลาบางช่วงที่คนในสังคมล้านนา, นครศรีธรรมราช, ลพบุรี, หริภุญไชย, อยุธยาและรัตนโกสินทร์ อาจคิดว่าเป็นโอกาสที่จะวางอนาคตใหม่ของตนเอง ของครอบครัว หรือของชุมชนที่เขามีชีวิตอยู่ และของสังคมโดยรวม
อันที่จริง เมื่อไรที่เราวางแผนอนาคตของตนเอง ก็สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากจินตนาการของเราว่าอนาคตของสังคมโดยรวมจะเป็นอย่างไร สองอย่างนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกัน ใครหรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม ที่ทำให้คนในสังคมมีจินตนาการถึงอนาคตของสังคมโดยรวมไปในทางเดียวกันได้ ก็เท่ากับทำให้ทุกคนวางอนาคตของตนเองไปในทางเดียวกัน หรือในทางที่สอดคล้องกันด้วย
จึงนับเป็นพลังที่ใหญ่มาก
กลับมาสู่ประสบการณ์ของสังคมไทยที่เคยวาดหวังอนาคตใหม่ในอดีต ผมเข้าใจว่าการปฏิรูปในสมัย ร.5 ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่คนไทยคงวาดหวังอนาคตใหม่กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อทรงประสบความสำเร็จในการจัดวางความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ไปทั่วสังคม โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องบนสุด ขุนนางยอมรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่นี้โดยทั่วกัน เพราะคนที่ไม่ยอมรับก็ถูกลิดรอนอำนาจหรือปลดออกไป แม้ขุนนางข้าราชการตั้งแต่ระดับเล็กขึ้นไปยังอยู่ในความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ แต่เป็นระบบอุปถัมภ์ในแนวดิ่งที่พุ่งขึ้นไปสู่พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีใครสร้างกลุ่มอุปถัมภ์ขึ้นในแนวขวางที่จะท้าทายพระราชอำนาจ
และต่างวาดหวังว่าอนาคตของตนจะก้าวหน้าไปในระบบราชการ จากความสนับสนุนของผู้อุปถัมภ์ของตน ฝันถึงเรือนทรงปั้นหยาเหมือนกัน ฝันถึงความนับหน้าถือตาในสังคมที่ได้มาจากตำแหน่งราชการ โดยไม่สัมพันธ์กับกำเนิดมากนักเหมือนกัน
ไพร่จำนวนมาก หลุดออกไปจากพันธะที่มีตามประเพณีกับมูลนายของตน พากันออกไปบุกเบิกก่นสร้างที่นาของตนเองในแหล่งที่ใกล้เส้นทางคมนาคม เพื่อผลิตข้าวส่งโรงสี พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่า อิสรภาพจากพันธะตามประเพณีของระบบไพร่นี้ได้มาจากการถูกเลือกให้เป็นพันธมิตรของกษัตริย์ เพื่อลดอำนาจของขุนนางลง เพราะอำนาจของรัฐไทยในการควบคุมแรงงานประชากรผ่านระบบไพร่ ได้เรรวนและลดลงมาตามลำดับอยู่แล้ว แม้กระนั้นฐานะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็ทำให้เขาวาดหวังอนาคตของตนไว้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากไพร่ในอดีตอย่างมาก
ในช่วงนี้เองที่งานประวัติศาสตร์ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางอีกครั้งหนึ่ง ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตกลายเป็นเครื่องแสดงภูมิรู้ที่ขาดไม่ได้สำหรับชนชั้นนำ (แทนการถ่ายทอดนิยายจีนออกเป็นภาษาไทยซึ่งเคยเป็นเกียรติยศของชนชั้นนำมาก่อน) ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์อย่างน้อยในสองรัชกาลคือ ร.5 และ ร.6 เจ้านายอีกหลายพระองค์ไม่เฉพาะแต่ "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" คือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เท่านั้น แม้แต่เจ้านายที่ไม่ได้มีชื่อทางประวัติศาสตร์ เช่น กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ก็ยังมีพระนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง ข้าหลวงและเทศาภิบาลที่ถูกส่งไปปกครองหัวเมืองอีกหลายคนที่เขียนงานประวัติศาสตร์ ไม่เฉพาะแต่พระยาโบราณราชธานินทร์ ซึ่งเป็นข้าหลวงกรุงเก่าเท่านั้น
งานประเภทจดหมายเหตุที่ไม่เกี่ยวกับอดีตโดยตรง ก็มักใช้ประวัติศาสตร์หรือการทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับอดีตในเรื่องนั้นๆ เป็นเครื่องมืออธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน (ของพระปฐมเจดีย์, ของประชากรกลุ่มต่างๆ ในอีสาน, ของหัวเมืองบางแห่ง, ฯลฯ) ความทรงจำเป็นพื้นฐานให้แก่การวางอนาคตของชนชั้นนำไทย ด้วยเหตุดังนั้นจึงเป็นความทรงจำที่ถูกกำหนดขึ้นจากความใฝ่ฝันถึงอนาคตที่คนเหล่านี้ต้องการด้วย และทั้งหมดเหล่านี้ถูกทำให้กลายเป็นความทรงจำแห่งชาติหรือประวัติศาสตร์ที่ต้องร่ำเรียนกันในระบบการศึกษาสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ผมอธิบายไม่ได้ว่า ความทรงจำสำนวนนี้ผ่านการปฏิวัติ 2475 มาได้อย่างไร ทำไมความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจึงไม่ทำให้ผู้คนพากันคิดถึงอนาคตใหม่ มากพอที่จะทำให้เกิดการทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับอดีตกันใหม่
นอกจากการปฏิรูปของ ร.5 แล้ว ผมคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ที่น่าจะทำให้ผู้คนพากันคิดวางอนาคตใหม่ และหันมาทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับอดีตกันขนานใหญ่ นั่นคือการรับเอาพระพุทธศาสนาสำนักลังกาเข้ามาเผยแพร่
อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของความเปลี่ยนแปลงนี้อาจมองเห็นได้ไม่ชัดนักในภาคกลางและภาคใต้ เพราะพุทธศาสนานิกายเถรวาทไม่ใช่คนแปลกหน้าในดินแดนแถบนี้มาก่อน การเปลี่ยนไปสู่สำนักใหม่ของลังกาจึงอาจไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่กระทบชีวิตผู้คนมากนัก แต่ในภาคเหนือ สถานการณ์อาจไม่เหมือนกันทีเดียวนัก เช่น นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่าเมื่อพระเจ้ามังรายแผ่พระราชอำนาจลงมาถึงลุ่มน้ำปิง หากทรงนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาที่ตรงกับเถรวาทของหริภุญไชยนัก เป็นไปได้ว่าทรงนับถือผี และหากจะมีพุทธศาสนาเจือปนก็น่าจะเป็นนิกายวัชรยานที่แพร่เข้ามาจากเบงกอลในราชวงศ์ปาละ ผ่านพุกามซึ่งมีหลักฐานเกี่ยวกับพุทธศาสนานิกายนี้อยู่มาก และมักเรียกในหลักฐานข้างพม่าว่าพวก Ari ซึ่งนักประวัติศาสตร์พม่าบางท่านกล่าวว่าเป็นวชิรญาณจากเบงกอล (Thant Myint-U, Where China Meets India)
และด้วยเหตุดังนั้น ลังกาวงศ์ในภาคเหนือจึงนำมาซึ่งวรรณกรรมทบทวนความทรงจำมากมาย ทั้งวรรณกรรมที่วาดอนาคตใหม่ อันเป็นสังคมพุทธเถรวาทที่รุ่งเรืองด้วยธรรมราชูปถัมภ์ และทั้งวรรณกรรมที่วาดอนาคตให้กลืนนิกายใหม่เข้ามาโดยยังรักษาสังคมเก่าไว้ได้ต่อไป มีผีใหญ่ผีน้อย และอำนาจกระจายไปตามหมอผีประเภทต่างๆ ในท้องถิ่น เราจึงมีทั้งงานประเภทชินกาลมาลีปกรณ์ และตำนานพ่อหลวงคำแดง ตลอดจนตำนานท้องถิ่นอื่นๆ อีกมาก
สรุปกลวิธีง่ายๆ (จนเกินไป) ของผมก็คือ เมื่อไรที่ได้เห็นความคึกคักทางด้านประวัติศาสตร์ในสังคมใด ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าคงมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ผู้คนในสังคมนั้นกำลังคิดวาดอนาคตใหม่ของสังคม จึงพากันทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับอดีต เพื่อวางอนาคตใหม่ตามความใฝ่ฝันของตน
ในปัจจุบัน คสช. อ้างว่าเข้ามายึดอำนาจเพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้แก่การเมืองไทย แต่อนาคตที่ คสช. พูดถึงนี้ ไม่ทำให้เกิดการทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับอดีต แม้แต่ในหมู่ผู้ที่เชื่อว่า คสช. จะนำอนาคตใหม่ทางการเมืองมาแก้สังคมก็ตาม
ข้อนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะอนาคตทางการเมืองที่ คสช. และบริวารพูดถึงนั้น ไม่มีอะไรใหม่ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เป็นสภาพทางการเมืองที่ได้ผ่านพ้นไปในอดีตกาลนานไกลแล้ว คืออดีตในช่วงที่ชนชั้นนำยังสามารถควบคุมการเมืองมวลชนได้เด็ดขาด แม้ว่าจะมีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้ส่วนแบ่งของอำนาจอยู่ด้วย หรืออาจย้อนไปไกลถึงขั้นที่ไม่มีนักการเมืองจากการเลือกตั้งอยู่เลยก็ได้
จึงไม่มีอดีตอะไรให้ทบทวน นอกจากตอกย้ำการนำที่ดีเลิศของชนชั้นนำ ดังหนังสือประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาที่ออกมาเพื่อตอบสนองความประสงค์ของ คสช., ตำนานสมเด็จพระนเรศวร, หรือแม้แต่เทือกเขาอัลไต
ตรงกันข้ามกับฝ่ายที่สนับสนุนการรัฐประหาร ผมสังเกตว่าฝ่ายต่อต้านมีการทบทวนอดีตกันอย่างกว้างขวางพอสมควร แต่เป็นการทบทวนอดีตที่ไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมาหลัง 14 ตุลา เพราะไม่ได้ทำผ่านสิ่งพิมพ์เป็นหลัก แต่ทำผ่านข้อเสนอและมุมมองในสื่อออนไลน์ จึงไม่มีรายละเอียดและการศึกษาวิจัยอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
ดังนั้น อดีตที่ถูกทบทวนกันในช่วงนี้จึงเป็นเพียงหน่ออ่อน ซึ่งในวันหนึ่งข้างหน้า คงมีการศึกษาที่กว้างขวางขึ้น และลงลึกไปสู่การใช้หลักฐานและการวิเคราะห์อย่างละเอียดขึ้น อาจเป็นในรูปวิทยานิพนธ์ หรือในรูปบทความทางวิชาการ หรือในรูปของงานเขียนจริงจัง (serious)
โดยขาดการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผมคิดว่าอดีตที่ถูกทบทวนหรือถูกมองจากมุมใหม่ ในหมู่คนที่สื่อสารกันผ่านสื่อออนไลน์ อาจสรุปได้ดังนี้
1.ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย คือหลัง ร.5 ลงมา ข้อนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะการปฏิรูปใน ร.5 ย่อมส่งผลไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อย ต่อปัญหาทางการเมืองและสังคมที่เราเผชิญอยู่ แต่ที่เข้าใจยากกว่าน่าจะอยู่ที่ว่า การทบทวนความทรงจำในช่วงนี้ ไม่นำไปสู่การวิพากษ์แนวทางการปฏิรูปในสมัยนั้นอย่างจริงจัง หากเปรียบเทียบกับงานวิชาการที่มีมาก่อน อาจกล่าวได้ว่าแทบไม่ส่งอิทธิพลต่อการทบทวนความทรงจำบนออนไลน์ในปัจจุบันเลย
อาจเป็นเพราะบรรยากาศการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกในช่วงนี้ก็เป็นได้ ที่ทำให้ไม่มีใครถ่ายทอดกระแสวิพากษ์การปฏิรูปของ ร.5 จากงานวิชาการที่มีผู้ทำไว้แล้วออกมา ส่วนใหญ่มักเอาพระราชกรณียกิจมาเปรียบเทียบกับแผนงานต่างๆ ของ คสช. เช่น การเริ่มกิจการรถไฟในสมัย ร.5 กับโครงการขนส่งระบบรางในปัจจุบัน หรือการสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับวัฒนธรรมตะวันตก มากกว่าความพยายามของกลุ่มนิยมเจ้าในปัจจุบัน ที่จะดึงกลับไปสู่แบบแผนความสัมพันธ์ก่อน ร.5 ขึ้นไป
หากการทบทวนความทรงจำบนสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปฏิรูปใน ร.5 ไม่ได้เกิดขึ้นจากความจำเป็นต้องเซ็นเซอร์ตัวเองแล้ว ก็นับเป็นการทบทวนความทรงจำที่ประหลาด เพราะเท่ากับว่ากระแสความทรงจำของไทยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก มาตรฐานการปฏิรูปบ้านเมืองที่พึงใช้ได้ตลอดไปคือการปฏิรูปภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนเดิม
ข้อสรุปเช่นนี้ (ถ้าจริง) ย่อมสะท้อนด้วยว่า อนาคตใหม่ของสังคมไทยที่ฝ่ายต่อต้านมองเห็น จะไม่มีการถอนรากถอนโคนที่รุนแรงนัก รัฐจะยังคงเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง โดยรักษาโครงสร้างสังคมไว้ดังเดิม เพียงแต่กระทำด้วยความชอบธรรมมากขึ้น (เช่น ผ่านกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย) เท่านั้น
2.แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐที่จะนำการปฏิรูปในกระบวนการประชาธิปไตยอาจไม่ราบรื่นนัก
นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งโพสต์ข้อความว่า การขัดขวางพัฒนาการไปสู่ประชาธิปไตยในหมู่ชนชั้นนำไทยนั้น อาจมองจุดเริ่มต้นได้จากกรณีคำกราบบังคมทูลของเจ้านายและขุนนางให้เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2428
ผมคิดว่า นักประวัติศาสตร์ท่านนั้นได้สร้าง "ความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์" อันใหม่ขึ้น แต่ก่อนนี้เวลาเราพูดถึงคำกราบบังคมทูล 2428 เราหมายถึงจุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวสู่ประชาธิปไตยของคนกลุ่มต่างๆ มาสิ้นสุดลงที่การปฏิวัติ 2475 และทำให้ 2475 เป็นเส้นแบ่งระหว่างยุคสมัยสองยุคคือสมบูรณาญาสิทธิราชย์และหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่การมองคำกราบบังคมทูลจากปฏิกิริยาของชนชั้นนำ ทำให้ 2475 ไม่ใช่จุดแบ่งทางประวัติศาสตร์สองยุค แต่เป็นแรงกระเพื่อมที่ถูกตอบโต้จากชนชั้นนำ เชื่อมโยงมาถึง 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภามหาโหด 2535, รัฐธรรมนูญ 2540, รัฐประหาร 2549, และเมษา-พฤษภามหาโหดกว่าใน พ.ศ.2553 จนถึงการยึดอำนาจของกองทัพและพันธมิตรในพฤษภาคม 2557
อะไรคือจุดเปลี่ยน อะไรคือความสืบเนื่อง ไม่เกี่ยวกับว่าอย่างใดถูกอย่างใดผิด แต่เมื่อเปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้ ก็ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับอดีตเปลี่ยนไป เช่น หากมองว่าเป็นความสืบเนื่องมาจาก 2428 ก็น่าสังเกตว่า ฝ่ายชนชั้นนำจำเป็นต้องขัดขวางประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ในขณะที่โครงการของฝ่ายซึ่งผลักดันประชาธิปไตยก็มีลักษณะถอนรากถอนโคนมากขึ้นตามลำดับไปด้วย
อนาคตที่คนซึ่งทบทวนความทรงจำจากอดีตในแนวนี้วาดหวังไว้คืออะไร ผมขอยกตัวอย่างจากข้อเสนอที่มีการแชร์กันอย่างกว้างขวางบนสื่อออนไลน์
ข้อเสนอหนึ่งคือหากมีโอกาสในวันข้างหน้า ต้องปฏิรูปกองทัพ ทั้งเพื่อทำให้กองทัพสามารถปฏิบัติภารกิจหลักของตนได้ดีขึ้น และทั้งเพื่อทำให้กองทัพพร้อมจะอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของรัฐบาลพลเรือน
อีกข้อเสนอหนึ่งก็คือ หากมีโอกาสในวันข้างหน้า จำเป็นต้องมีกระบวนการไต่สวนและลงโทษอย่างยุติธรรม แก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ส่งเสริมค้ำจุนอำนาจรัฐประหาร หรือทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรม จนก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในวันนี้
คนไทยมีประสบการณ์อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบมายาวนาน แต่ทุกครั้งที่ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ เราก็ได้แต่เพียงขจัดบุคคลที่เป็นหัวขบวนเพียงไม่กี่คนออกไป โดยปล่อยให้อำนาจแฝงที่อยู่เบื้องหลังระบอบเผด็จการลอยนวลต่อไป แต่อนาคตที่คนเหล่านี้วาดหวังจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
วันใดที่ประชาชนเป็นฝ่ายได้ชัยชนะบ้าง คงมีการสั่นคลอนอำนาจของชนชั้นนำอย่างถึงรากถึงโคนมากกว่าที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญที่ประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแข็งแรงเพียงอย่างเดียว คงไม่พอเสียแล้ว
และด้วยเหตุดังนั้น เมื่อคิดถึงชัยชนะของประชาชนในครั้งนี้จึงดูจะหวาดเสียวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
3.หนึ่งในการทบทวนความทรงจำที่น่าสนใจคือ การเปรียบเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน มีการนำเอาสถาบัน, ความเคลื่อนไหว, หรือปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ ของไทยไปเปรียบกับเพื่อนบ้านมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การเปรียบเทียบไม่ได้มีประโยชน์ทางวิชาการที่ทำให้เราเข้าใจตนเองได้ลึกขึ้นเท่านั้น แต่ในทางการเมือง การเปรียบเทียบย่อมทำลายทฤษฎีไทยเป็นข้อยกเว้นเพราะมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครลงไป ทฤษฎีข้อยกเว้นปกป้องสถานะเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ทั้งในสหรัฐและในประเทศไทย เพราะทฤษฎีข้อยกเว้นย่อมขัดขวางความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไปให้ไกลไปกว่าสภาพที่เป็นอยู่แล้ว อะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับไทยกลายเป็นประกาศิตของผู้มีอำนาจ ไม่ได้ใช้การศึกษาความเป็นไปได้ (และเป็นไปไม่ได้) จากเงื่อนไขที่คล้ายคลึงกันในสังคมอื่น
แม้ความไม่เหมือนกับเพื่อนบ้านก็อาจช่วยส่องสว่างคำอธิบายบางอย่างได้ เช่น ทั่วทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ มีอยู่เพียงสามประเทศเท่านั้นที่กองทัพยังแทรกแซงการเมืองอย่างหนัก คือไทย พม่า และกัมพูชา เหตุใดกองทัพในประเทศที่เหลือจึงยุติหรือไม่แทรกแซงทางการเมือง ความเปลี่ยนแปลงในพม่าบ่งบอกอะไรให้แก่ไทยและกัมพูชาหรือไม่ เป็นต้น
4.สอดคล้องกับที่กล่าวข้างต้น มีการเจาะดูกลุ่มหรือสถาบันที่ต่อต้านประชาธิปไตยมากขึ้น เช่น กองทัพ,
สถาบันอุดมศึกษา, สถาบันคลังสมอง สถาบันตามประเพณี เช่น คณะสงฆ์, กลุ่มนิยมเจ้า, ฯลฯ ในขณะที่แต่เดิมเราค่อนข้างจะเจาะไปที่กลุ่มซึ่งมีบทบาทในสายประชาธิปไตยมากกว่า เช่น นักคิดนักเขียนนับตั้งแต่เทียนวรรณลงมา, ขบวนการเสรีไทย, นักการเมืองท้องถิ่น, รัฐสภา, พรรคการเมือง, นักศึกษา, ฯลฯ
การหันความสนใจมาสู่สถาบันอำนาจ (the Establishment) เช่นนี้ ย่อมสร้างความรู้ความเข้าใจว่า จะต้องปรับแก้อย่างไรเมื่อมีโอกาสข้างหน้า
5.มีความสนใจเนื้อหาของประวัติศาสตร์สังคมมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นวิถีชีวิตของสามัญชน อันที่จริงแนวโน้มเช่นนี้มีมาตั้งแต่หลัง 14 ตุลาแล้ว แต่การทบทวนความทรงจำหลังจากนั้นได้รับการชี้นำจากทฤษฎีเหมาน้อยลง ทำให้ขยายไปถึงกลุ่มคนเล็กคนน้อยอีกหลายกลุ่ม โดยเฉพาะในเขตเมือง เช่น คนไร้บ้าน, ชาวสลัม, แรงงานข้ามชาติ, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ดูเหมือนความใส่ใจต่อคนเหล่านี้ชี้ว่า อนาคตใหม่ที่กำลังมาถึง จะมีคนเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งน้อยลง
ดังที่กล่าวแล้วว่า การทบทวนอดีตเกิดขึ้นจากสำนึกว่าอนาคตใหม่กำลังมาถึง แม้ไม่นับกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนการรัฐประหารเลย ผมคิดว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยก็พอจะคาดเดาได้ว่า อนาคตการเมืองไทยจะไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว เพราะการรัฐประหารครั้งนี้มีราคาแพงมาก ไม่ใช่แพงในทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงโอกาสทางการเมืองและสังคมของคนอีกหลายกลุ่มในสังคมไทย (เช่น การปฏิรูปการศึกษาก็คงต้องเนิ่นช้าออกไปอีก) หรือโอกาสที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวในความสัมพันธ์เชิงอำนาจต่อกัน ฯลฯ ทำให้กระบวนการปรับตัวเกิดขึ้นโดยปราศจากความรุนแรงได้ยาก
ดังนั้น การรัฐประหารจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของชนชั้นนำที่มีประสิทธิภาพน้อยลง เพราะมันแพงเกินไปแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งแก่ฝ่ายชนชั้นนำด้วย
ผมไม่ทราบหรอกว่า คณะ คสช. จะลงจากอำนาจเมื่อไรและอย่างไร กองทัพยังมีศักยภาพจะก่อรัฐประหารอีกแน่ แต่รัฐประหารครั้งหน้าจะไม่ใช่เครื่องมือของชนชั้นนำอีกแล้ว ตรงกันข้ามอาจเป็นความพยายามของกองทัพที่จะควบคุมชนชั้นนำอย่างที่เคยเกิดมาแล้วใน พ.ศ.2494 ดังนั้น อนาคตทางการเมืองไทยจึงไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีก