วันศุกร์, มีนาคม 18, 2559

ณ แดนลิเก เน้นอโหสิกรรมไม่เน้นยุติธรรม : จอมโจรเพชรซาอุบวชไม่สึก ป๋าลอโผล่ร่วมล้างอาถรรพณ์



"เกรียงไกร เตชะโม่ง" จอมโจรเจ้าของตำนานคดีเพชรซาอุฯ เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์ ตัดสินใจบวชไม่ศึก เพื่อหวังล้างอาถรรพณ์ หลังทำชีวิตตกต่ำ ด้าน อดีต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ โผล่ร่วมพิธีเพื่อขอขมา

จอมโจรเพชรซาอุบวชไม่สึก ป๋าลอโผล่ร่วมล้างอาถรรพณ์

ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
17 มีนาคม 2559


เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อายุ 58 ปี จอมโจรเจ้าของตำนานคดีเพชรซาอุฯที่โด่งดังเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่วัดท่ามะเกว๋น ถนนสายเถิน-วังชิ้น ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่า นายเกรียงไกร ได้ทำพิธีปลงผม เพื่อเตรียมเข้าพิธีอุปสมบท โดย นายเกรียงไกร หรือ นาคเกรียงไกร ซึ่งมีอาการตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้สื่อข่าว ได้ยอมเปิดเผยถึงสาเหตุที่จะหันหลังให้ทางโลกมุ่งหน้าสู่ธรรมมะ ว่า เพื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์เพชรซาอุฯ และเป็นการสร้างบุญ เพื่ออุทิศส่วนบุญ รวมถึงขออโหสิกรรมไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ที่ล่วงลับไปแล้วหลายคน รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่ต้องคดีอยู่ในคุก จนพ้นโทษแล้วกลับออกมาใช้ชีวิต ตนเองก็ไม่เคยมีความสุขเลย ชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไปมาก เนื่องจาก อาจจะเป็นเพราะคิดว่าตนทำกรรมเอาไว้มาก ทั้งคนในครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีเพรชซาอุฯ

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ตนก็ไปประสบอุบัติเหตุขับรถไปชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ที่ อ.เถิน จ.ลำปาง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนรักษาตัวอยู่นาน แต่ก็ยังมีรอดมาจนถึงทุกวันนี้ หลังหายบาดเจ็บจึงตัดสินใจบอกญาติพี่น้องว่าจะลาบวชไปชั่วชีวิต เพื่อชดใช้ความผิดในสิ่งที่กระทำมา ซึ่งทางญาติๆก็เข้าใจ โดยจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านๆมาอีกแล้ว สำหรับการบวชในวันนี้ตนคิดว่าคงจะมีคนรู้น้อยที่สุด คือ มีแค่ครอบครัวตนเท่านั้นที่รับรู้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายชลอ เกิดเทศ หรือ อดีต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ นายตำรวจผู้เคยคุมการสืบสวนสอบสวนคดีเพรชซาอุฯ ได้นั่งรถเข็นมาร่วมงานบวชของ นายเกรียงไกร ในครั้งนี้ด้วย โดย นายชลอ ได้กล่าวว่า ตนก็มีความเชื่อเหมือนกันว่าเพชรสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ซาอุฯซึ่งเป็นของเก่าแก่ จะมีอาถรรพณ์ต่อผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของ ดังนั้น เมื่อทราบว่า นายเกรียงไกร จะบวชจึงตัดสินใจเดินทางมาร่วมงานทันที เพื่อหวังขอโทษและขอขมาในสิ่งที่ได้เคยทำไว้และล่วงเกินไป รวมถึงอยากที่จะร่วมสร้างบุญในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับทุกวันนี้หลังได้รับการพระราชทานอภัยโทษออกมาเมื่อเดือน ส.ค. 2558 หลังจากติดคุกมานาน 19 ปี ก็ได้มาพักอยู่ที่สวนชะลอ เกิดเทศ ที่ อ.พบพระ จ.ตาก โดยใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย.





ooo


เรื่องเกี่ยวข้อง...

ตามรอย "คดี 2 แม่ลูกศรีธนะขันธ์" ผลพวงความโลภของตำรวจ -โจร -พ่อค้า


โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 13 พฤศจิกายน 2557
ผู้จัดการออนไลน์

คดีฆาตกรรมสองแม่ลูกตระกูล “ศรีธนะขัณฑ์”เมื่อปี 2537 ถือว่าเป็นเรื่องราวที่สะเทือนขวัญสุจริตชนมากที่สุดคดีหนึ่งนั่นเพราะนอกจากเหยื่อจะเป็นเด็กผู้บริสุทธิ์และสตรีที่ไม่มีทางสู้รบปรบมืออะไรได้แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาหรือตัวผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่ยังเป็นตำรวจอันหมายถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงเพิ่มความเข้มข้น จนไม่น่าเชื่อว่าความโหดเหี้ยมทารุณอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย

เรื่องราวสะท้านความรู้สึกครั้งนั้นแม้จะผ่านมานานถึง 20 ปีแต่ข่าวเล็กๆชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เคลื่อนย้ายรถเบนซ์ รุ่น 230 อี สีขาวหมายเลขทะเบียน 8 ฉ 3237 กทม.ซึ่งเป็นรถของกลางคดีอุ้มฆ่านางดาราวดี ศรีธนะขัณฑ์ และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ภรรยา-ลูกชายนายสันติ ศรีธนะขันธ์ เจ้าของร้านเพชรย่านบ้านหม้อ ตัวละครสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯพร้อมกับขอให้นายสันติ เจ้าของมารับกลับคืนเนื่องจากคดีความหมดอายุไปแล้วและเจ้าหน้าที่ไม่อาจแบกภาระให้ต่อไปได้

ข่าวถูกนำเสนอในแนวชวนขนลุกซึ่งพอเข้าใจได้ว่าแม้แต่ผู้สื่อข่าวประจำกองปราบเองหากไม่เป็นรุ่นเก่าทำงานมานานก็อาจจะทราบความเป็นไปเพียงคร่าวๆ หรือไม่ทราบอะไรเลยหากไม่มีใครมาบอก แต่ถ้าย้อนหลังเก็บแง่มุมในรายละเอียดต่างๆคดีฆาตกรรมนางดาราวดี กับ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ นอกจากมีความโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวเป็นความรู้สึกแรกแล้วยังมีความเศร้าสลดใจต่อเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลศรีธนะขันธ์ เพียงแค่นายสันติ ผู้เป็นสามีและบิดาเห็นผิดเป็นชอบ เห็นความร่ำรวยแบบทันตาแต่ไม่เฉลียวว่าจะมีความเลวร้ายค่อยๆคืบคลานเข้ามาจนพรากชีวิตของลูกเมียไปอย่างไม่มีวันกลับ

ปฐมบทคดีเปื้อนเลือดและน้ำตาของบุคคลในตระกูล”ศรีธนะขันธ์”เริ่มต้นจากผลกรรมของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง แรงงานไทยที่มีโอกาสเข้าไปทำงานในวังเจ้าชายไฟซาล บินฟาฮัต ราชวงศ์ของซาอุดิอาระเบียเมื่อประมาณ ปี 2533 และ 2 ครั้งที่นายเกรียงไกร ขออนุญาตเจ้านายกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดก็ใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เจ้านายมีต่อเขาขโมยเครื่องเพชรเครื่องทองกลับมายังประเทศไทยคราวละมากๆจนที่สุดเมื่อเรื่องแดงขึ้นทางการซาอุฯประสานมายังทางการไทยให้ซึ่งในสมัยนั้นมีพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจกระทรวงมหาดไทย ติดตามหาตัวนายเกรียงไกร

การตัดสินใจของนักการเมือง มอบหมายภารกิจสำคัญ ในครั้งนี้

ไม่มีใครคิดว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศชาติในอนาคต เพียงเพราะทีมงานของพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ไม่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

ช่วงนั้นสามารถติดตามเครื่องเพชรกลับมาได้จำนวนมากมีการเปิดแถลงข่าวอย่างใหญ่โต ทั้งตำรวจน้อยใหญ่ นักการเมืองต่างได้หน้ากันทั่ว แต่ก็มีบางคนที่มองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะเกิดข่าวซุบซิบในวงการนักสืบว่ามีการยักยอกเครื่องเพชรเครื่องทองและนาฬิการาคาแพงแจกจ่ายกันในหมู่คนทำงาน หรือพวกตามล่าหาสมบัติ ส่วนระดับหัวหน้าก็เอาไปขายกับพ่อค้าเพชรสร้างความร่ำรวยกันถ้วนหน้า

อย่างไรก็ตามแม้จะมีคนกระตุกเตือนอยู่บ้างแต่กระแสมือปราบ “ชลอ เกิดเทศ”ที่ทำงานด้วยความรวดเร็ว สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ทำให้ทางการซาอุฯรู้สึกยินดีถึงกับเอ่ยปากเชื้อเชิญพล.ต.ท.ชลอ เดินทางไปรับคำขอบคุณถึงประเทศซาอุดิอาระเบีย ในฐานะ “ชีคชลอ” เยี่ยงวีระบุรุษของเขา

แต่วันเวลาแห่งความสุขมีได้เพียงระยะสั้นๆ ความทั้งหลายมาแตกเมื่อดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้นไปเยือนประเทศซาอุฯเพื่อขอโอกาสให้กับแรงงานไทยกลับไปขายแรงงานกันอีกครั้งปรากฏว่าไม่มีคำชมอีกต่อไป มีแต่คำตำหนิที่เขาพบว่าเครื่องเพชรทองที่เอาไปคืนนั้นส่วนใหญ่เป็นของเก๊หาค่าหาราคาไม่ได้ อาการหน้าแตกของนักการเมืองไทย ครั้งนั้นพอเดินทางกลับถึงประเทศไทย หายนะของพล.ต.ท.ชลอ ก็เริ่มส่อแววขึ้น
ทางการซาอุฯกดดันอย่างหนัก รัฐบาลไทยจากเคยได้หน้าสถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ

พล.ต.ท.ชลอ กับสมัครพรรคพวกตกเป็นจำเลยสังคม กระนั้นนายตำรวจมือปราบชื่อดังก็ยังคงทำหน้าที่ติดตามหาเพชรซาอุฯต่อไป และเริ่มมีข่าวทำนองว่ามีการบังคับนายสันติ หลายต่อหลายครั้งเพื่อให้คลายความลับถึงที่ซ่อนเพชรแต่ทุกครั้งจะได้คำตอบกลับมาว่าเขาได้ให้และคืนกับตำรวจไปจนหมดแล้ว

ท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้นทีมงานพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ซึ่งตกเป็นจำเลยสังคมเกี่ยวกับการอมเพชรวันที่ 1 สิงหาคม 2537 ประชาชนคนไทยก็ต้องช็อกกันทั้งประเทศเมื่อปรากฏข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับนำเสนอคดีอุบัติเหตุที่มีเงื่อนงำชวนสงสัยว่าอาจจะเป็นการฆาตกรรมนางดารวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขันธ์ และถัดมาอีกเพียงวันเดียวคือวันที่ 2 สิงหาคมหนังสือพิมพ์พากันรายงานอย่างชัดเจนว่าเป็นการฆาตกรรมที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยมีรายละเอียดพอสังเขปว่าหลังจากที่ทีมงานพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ พยายามบีบให้นายสันติ บอกที่ซ่อนเพชรในทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่มีข้อมูลใดๆสนองตอบตำรวจชุดดังกล่าวจึงใช้วิธีโจรด้วยการลักพาตัว 2 แม่ลูกขณะเดินทางไปทำธุระนอกบ้าน

ทีมตำรวจน้ำดีอันประกอบด้วยพล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผบก.ป.ในขณะนั้นในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน พ.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย พ.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบก.ป. พ.ต.อ.ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ ผกก.2 ป.พ.ต.ท.เมธี กุศลสร้าง รองผกก.1 ป.และพ.ต.ต.ทวี สอดส่อง สว.ผ.4 กก.2 ป.ร่วมกันคลี่คลายเริ่มจากการชันสูตรศพ 2 แม่ลุกอย่างละเอียดก็พบว่ามีร่องรอยถูกทุบด้วยของแข็งที่ศรีษะ ส่วนรอยฟกช้ำตามร่างกายแตกต่างกับอุบัติเหตุทั่วไป เพียงแต่ทีมตำรวจน้ำดีไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการชันสูตรศพมากนักเพราะแพทย์นิติเวชฯ รพ.ตร.คือพล.ต.ต.ทัศนัย สุวรรณจูฑะ ผบก.สถาบันนิติเวช ในขณะนั้นมีความเห็นไปคนละทางโดยยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งมีการจำลองเหตุการณ์ถึง 2 ครั้งเพื่อแสดงให้เห็นแรงเหวี่ยงแรงกระแทกต่างๆแต่ในที่สุดด้วยพยานหลักฐานอื่นๆรวมทั้งก่อนหน้าพบศพนายสันติ ได้ร้องเรียนไปยังพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ทีมตำรวจน้ำดีจึงเดินหน้าค้นหาความจริงต่อไป

ในที่สุดก็พบหลักฐานชิ้นสำคัญเป็นถุงพลาสติกของห้างสรรพสินค้าเล็กๆแห่งหนึ่งใส่ผ้าอนามัยของนางดารวดี ตกอยู่ในรถเมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นร้านค้าตั้งอยู่ในจังหวัด จ.สระแก้ว ตำรวจทีมน้ำดีจึงจำลองเหตุการณ์ตั้งแต่สถานที่เกิดเหตุซึ่งอยู่บนถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อันเป็นรอยต่อสามารถเดินทางด้วยระยะเวลาไม่นานนัก และทีมอุ้มฆ่าในละแวกนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "พ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์"สว.สส.สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี ลูกน้องคนสนิทพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และเมื่อตรวจเช็คการใช้โทรศัพท์ก็ปรากฏชัดว่าในห้วงเวลาเกิดเหตุมีการติดต่อระหว่างกัน อีกทั้งยังทราบถึงเซฟเฮ้าส์ที่ซ่อนตัวนางดารวดี กับด.ช.เสรี ด้วย จึงเดินทางไปตรวจสอบเก็บหลักฐานต่างๆไว้ก่อนควบคุมตัวพ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มาสอบสวนและรับสารภาพซัดทอดไปทั้งขบวนการอุ้มฆ่า

แม้เหตุการณ์จะผ่านมาถึง 20 ปี จนผู้ต้องหาบางรายจบชีวิตไปแล้วส่วนพล.ต.ท.ชลอ ถูกถอดยศเปลี่ยนชื่อเป็นนายธัชพล เกิดเทศ แต่เหตุการณ์ต่างๆยังไม่อาจเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนที่รับรู้เหตุการณ์ไปได้ บนเส้นทางมนุษย์ที่ยังคงโลดแล่นไปนั้นกรรมดีและกรรมชั่วยังคงวนเวียนเป็นวัฎจักร ผู้ต้องหาสำคัญอีกคนหนึ่งคือพ.ต.ท.พันธ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ หลังถูกจองจำนานถึง 18 ปีเมื่อพ้นโทษออกมาแทนที่จะหลาบจำกลับเนื้อกลับตัวแต่ตกเป็นผู้ต้องหาอุ้มฆ่านายชัยชนะ หรือเสี่ยอ้วน หมายงาน อายุ 67 ปีผู้กว้างขวางแห่งตลาดโรงเกลือ ต้องกลับเข้าคุกเข้าตะรางรอการตัดสินโทษอีกครั้ง

ทุกตัวละครที่เกี่ยวเนื่องกันโดยต่างคนต่างมาพบ ต่างคนต่างหน้าที่ และต่างคนต่างอยู่คนละทิศแต่ “กรรม”เพียงอย่างเดียวที่นำพาให้มาพบ สิ่งเหล่านี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นหลักธรรมะของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า กมมุนา วตตตีโลโก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

ooo


ข่าวเก่า...

Saudi Arabia to lobby Thai King on murder case




Saudi charge d’affaires tells AA the kingdom had enough of stalled attempts to get to bottom of case that has destroyed relations between 2 countries for almost a quarter of a century.

01.05.2014
AA News

BANGKOK

Stolen diamonds, fleeing criminals, corrupt police officers, skullduggery and murder -- it could be the key contents of a heist thriller, but to the Saudi royal family it's no fiction.

In an exclusive interview, the Saudi charge d’affaires to Thailand has told the Anadolu Agency that the kingdom has had enough of stalled attempts to get to the bottom of a case that has destroyed relations between the two countries for almost a quarter of a century, and is to seek intervention from the King of Thailand himself.

"[A] letter will ask the King of Thailand for justice," Abdulelah Alsheaiby told the AA.

In 1989, a Thai janitor working in the Saudi palace of a prince made off with jewelry reported to be worth between $2 and $20 million. He was arrested in Thailand soon after, police returning the jewelry to the Saudi authorities. But some of the pieces -- including a huge, nearly flawless "blue diamond" -- turned out to be fake, leading to suspicions that senior police and members of Thailand’s powerful elite had copied the loot and ordered a cover-up.

Soon after, four Saudi diplomats based in Bangkok who were attempting to recover the jewelry were murdered. Mohammad al-Ruwaili, a Saudi businessman and close friend of the murdered diplomats, then disappeared during the police investigation into the killings. His body was never found.

Under tremendous pressure from Saudi Arabia, Thailand has continued to investigate the case -- while also proclaiming its innocence.

The Thai ambassador to Turkey told the AA in Ankara that although the country regretted the murder of the diplomats, "they were most likely the victims of conflict elsewhere."

The ambassador refused to elaborate on what he meant by "elsewhere."

“Thailand was used as the location of the operations," Tharit Charunvat said.

"The government of Thailand has been working closely and sharing all evidence that is has found with the goverment of Saudi Arabia."

Late Saudi Charge d'Affaires Mohammed Khoja was adamant, however, that the murders and kidnapping were connected to the theft. Four years after al-Ruwaili's disappearance, a Thai jeweler he believed to be behind the copying of the jewels was kidnapped, his wife and son dying in a mysterious car crash soon after.

"The forensic commander thinks we're stupid. This was not an accident," Khoja has told the Washington Post.

Thai reporters agree, long speculating that some of the jewels -- especially the blue diamond -- ended up in the possession of people at the top of Thai social ladder.

On March 31 this year, the Thai criminal court dismissed a case against five Thai police officers accused of having kidnapped and murdered Al-Ruwaili and then burning his body. The main defendant, Police Lieutenant General Somkid Boonthanom, was accused of having given the order. All five denied the charges.

The judge considered the evidence "too weak," and did not consider as credible the statement of another Thai police officer.

The police officer was interviewed by the Thai Department of Investigations in the United Arab Emirates, where he resides out of fear of giving his testimony in Thailand.

For Alsheaiby, the Saudi charge d’affaires, however, the fact that the judge on the al-Ruwaili case was changed just two weeks before the judgment is a sign of "clear interference."

"The former judge had worked for three years on the case. He had heard all the witnesses and read all the documents. How could the new judge even pronounce a judgment without knowing anything?" he asked.

"There is a deep problem with the Thai justice system."

Thailand does have judicial problems. Corruption is not unheard of among judges, as several have been demoted for asking for millions of baht in bribes. Accusations of collusion between police and judges are also common -- the Thai justice system has no investigative judge and the notoriously corrupt police have extensive powers in the pre-trial phase.

In a recent case, an heir to the ultra-wealthy Red Bull energy drink family who mowed down a police officer in his Ferrari is yet to appear in court, offering excuses such as he was "on a business trip to Singapore." Another time, he could not appear as he was suffering "bad flu."

On announcement of the al-Ruwaili charges being dismissed, The Bangkok Post quoted the dead businessman's brother in law, Matrouk al-Ruwaili, as saying: "The family has come to the conclusion that he was stopped by the police and taken by the police -- which division we don't know -- for certain interrogations, perhaps relating to the assassination of the Saudi diplomats."

The prosecutor-general and the al-Ruwaili family are considering an appeal.

Alsheaiby said that Saudi authorities are now studying the possibility of filing a case on al-Ruwaili's murder to the International Court of Justice at The Hague, as Boonthanom -- the main suspect in the murder of Saudi businessman Al-Ruwaili -- was a Thai state official at the time of the disappearance.

They are also musing a further downgrade of diplomatic relations between Riyadh and Bangkok, although the Saudi charge d'affaires confessed that the country could do little more to impress the seriousness of the issue on Thailand "other than closing the embassy and packing up" altogether.

After the diplomats’ killing in 1990, a furious Riyadh downgraded the level of diplomatic relations between the two countries by replacing the ambassador with the chargé d’affaires. For a number of years, it also stopped allowing Thai migrant workers to work in the kingdom. They are now allowed back in -- albeit at a limited level.

In return, Saudi Arabia is not allowing its citizens to visit Thailand.

"You can only imagine how much Thailand is losing because of this one person [Somkid Boonthanom]," said Alsheaiby.

"Hundreds of thousands of Saudi tourists would like to come here.... Our crown prince has been visiting and signing contracts all over the region, but not here," he added.

Thai ambassador Charunvat highlighted that although there are pending issues between the two governments, the people "do not have hard feelings for each other."

"Every year thousands of Thai Muslims go to Mecca and Medina; as many as the Saudis can entertain," he said. "They have a quota, we want more quota, that means the people on both sides don't have any hard feelings."

In June 2006, during the 16th anniversary of the coronation of the Thai King, the Royal Saudi family was one of the world's few monarchies not to send someone to the lavish celebration.

It is now hoping that a direct appeal for justice to its Thai equivalent will close doors on a 25-year diplomatic and economic headache.

“We trust H.M. the King that he will retain justice in the right way," Alsheaiby told the AA.

*This story replaces a story published May 1, 2014 to clarify comments made by Thai Ambassador Tharit Charunvat