วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 07, 2559

ความมั่วนิ่มของระบบตุลาการไทย ลองมาไล่เบี้ยกันดูเป็นจะจะ




กระบวนตุลาการของไทยในยุค คสช. เป็นที่เพ่งเล็งในความสมเหตุสมผลตามหลักนิติธรรมสากล มากกว่าครั้งใดๆ

ตั้งแต่การจับกุมฝรั่งสูงอายุเล่นบริดจ์ที่พัทยา มาถึงการตะแบงมารเรื่องยุบพรรคไทยรักไทย อ้างว่าไม่เกี่ยวกับกรณีที่ศาลฎีกาตัดสินพรรคนี้บริสุทธิ์

ตรงกลางระหว่างความมักง่ายไร้สติปัญญาพื้นฐานของเจ้าหน้าที่ในคดีมะโนสาเร่พื้นบ้านที่พัทยา กับคดีการเมืองใหญ่ถึงขั้นยุบพรรค และทำลายนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานั้น เต็มไปด้วยคดีสิทธิมนุษยชนมากหลาย ที่องค์กรในสังกัดสหประชาชาติต้องออกมาแถลงประกาศว่าตุลาการไทยละเมิดกติกานานาชาติ

เหล่านี้มิได้ทำให้คณะทหารที่กุมอำนาจปกครองในประเทศไทยได้สำนึก หรือแสดงความมุ่งหมายในอันที่จะปรับแก้สิ่งเลวร้ายในสายตาชาวโลก เลยแม้แต่น้อย

เช่นนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โฮชา ในฐานะหัวหน้าใหญ่สูงสุดของคณะทหาร คสช. ยังจะตากหน้า ยักคิ้ว กรอกตา มุสาในเวที่นานาชาติอยู่อีกหรือว่า “ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน”

ลองมาไล่เบี้ยกันดูเป็นจะจะ แต่ละเรื่องไป

การจับกุมฝรั่ง ๓๒ คนไปแกร่วอยู่บนโรงพักกว่า ๙ ชั่วโมง ด้วยข้อหาที่ไม่น่าจะเป็นข้อหาเพราะการไม่รู้ข้อกฎหมายของเจ้าพนักงาน ว่าการเล่นไพ่บริดจ์เป็นกีฬาที่ใช้สมองไตร่ตรองชั้นเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่การพนันตามที่กล่าวหา

เพียงเพราะมีหญิงไทยสติไม่ดีคนหนึ่งไปโวยวายร้องเรียนต่อคณะกรรมการปราบคอรัปชั่นของหัวหน้า คสช. แล้วเจ้าพนักงานทหาร-ตรวจ-ฝ่ายปกครอง พากันเต้นตามอย่างหลงผิด ครั้นเมื่อปรากฏว่าพวกตนเขลาเอง ต้องถอนฟ้อง คืนเงินประกัน ในวันต่อมาก็ตาม

Damages have already been done. เป็นข่าวไปทั่วโลกชี้ถึงความ ‘งั่งเง่า’ ของเจ้าพนักงานไทย

เช่นกันกับกรณีศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งตัดสินว่า กกต. มีผิดในการทุจริตเลือกตั้ง ที่พรรคไทยรักไทยว่าจ้างผู้สมัคร ตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์คู่แข่ง

ครั้นมีการทวงถามว่าพรรค ทรท. ถูกยุบไปแล้วด้วยเหตุอ้างความผิดนั้นส่วนหนึ่ง สมาชิกกว่าร้อยคนในลำดับกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองไป ๕ ปี

(ดู ‘ภูมิธรรมถามดังๆ...หลังไทยรักไทยไม่ผิด’ ที่http://linkis.com/www.matichon.co.th/n/0XriD
กับ จาตุรนต์ชี้ ‘คือความอยุติธรรมจากตุลาการภิวัฒน์’http://www.matichon.co.th/news/27873)

เท่ากับพวกเขาต้องรับโทษโดยการผิดพลาดเลินเล่อของตุลาการไปแล้ว ใครล่ะจะรับผิดชอบ

คำตอบจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ช่างเหลือเชื่อ “ความจริงมันคนละเรื่องกัน ไม่สามารถพูดได้ว่าใครถูกหรือใครผิด”




“ยุบพรรคก็เรื่องหนึ่ง กรณีการรับผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง จึงถือเป็นคนละเรื่อง และเรื่องการยุบพรรคถือว่าจบไปแล้วแม้จะเป็นกรรมเดียว วาระเดียว แต่มูลเหตุและเหตุผลที่ใช้ในการพิจารณา คนละหลักกัน”

(http://www.matichon.co.th/news/28258)

พูดแบบแถแถกพริ้วหลักกฎหมายอย่างนี้ อย่างดีก็เรียกว่าตะแบงมาร อย่างเลวถือเป็นการใช้อำนาจโดยพลการบิดเบี้ยวกฎหมาย

นี่ระดับหมายเลขสอง มันสมองของผู้เผด็จการพูดอย่างไม่คำนึงหลักวิชาการ หรือถือว่าอัตตา ศักดา ที่มาจากปากกระบอกปืนของผู้เป็นนาย จะทำเหมือนถือไม้ปลายเพชรใช้ชี้เป้นชี้ตายได้อย่างนนทุกข์ก็ได้

มิน่า พวกลิ่วล้อตุลาการชั้นรองๆ จึงได้ตัดสินกันอย่างอีเหละเขระขระ ตามแต่อารมณ์และกระแสผู้นำ เรามีตัวอย่างมาให้ดูกันเป็นอุทธาหรณ์ สามสี่เรื่อง

ประเดิมที่ “คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยไม่ชอบของยูเอ็น เรียกร้องให้ประเทศไทยปล่อยตัวภรณ์ทิพย์ ผู้ต้องขังคดีมาตรา ๑๑๒ จากละครเจ้าสาวหมาป่าทันที พร้อมจ่ายค่าสินไหมทดแทน”

เรื่องนี้ สองนักศึกษาที่แสดงละครเรื่อง ‘เจ้าสาวหมาป่า’ ถูกข้อหาหมิ่นกษัตริย์ ศาลตัดสินจำคุกคนละ ๒ ปี ๖ เดือน




แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนในเครือสหประชาชาติกลับเห็นว่า เป็นการตัดสินความโดยละเมิดปฏิญญาสากลที่ประเทศไทยเป็นภาคี ในข้อ ๙ และข้อ ๑๙ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการถูกดำเนินคดี และสิทธิในการแสดงความเห็น การแสดงออก

(http://prachatai.org/journal/2016/02/63884)

อีกหนึ่ง “อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง ๓ ผู้ต้องหาคดีโพสเฟซบุ๊กหมิ่นสถาบันกษัตริย์ หลังจากพิจารณาว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งสามถูกฝากขังถึง ๘๔ วัน ระหว่างรอพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อส่งสำนวนให้อัยการ”
คดีนี้จารุวรรณ ผู้ต้องหาโพสต์เฟชบุ๊คข้อความหมิ่นกษัตริย์ แต่เจ้าตัวต่อสู้ว่าเพื่อนของสามีได้ฉกเอาหน้าเฟชบุ๊คของเธอไปครอบครอง ตัวเธอเองยังไม่เคยเห็นข้อความที่ว่าผิดกฎหมายหมิ่นฯ นั้น เพราะเข้าไปในเฟชบุ๊คที่เคยเป็นของตนเองไม่ได้

แต่เจ้าหน้าที่ก็จัดการจับกุมคุมขังเธอไว้เกือบสามเดือนโดยที่ไม่สามารถกำหนดสำนวนส่งฟ้องได้ ความมักง่ายจับขังไว้ก่อนเพราะเป็นคดีหมิ่นประมุข นี่ละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลชัดเจนเลยทีเดียว

(https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/05/jaruwan-112/)

อีกเรื่อง อาทิตย์ ผู้ต้องหาคดี ม.๑๑๒ ถูกฝากขังแล้ว ๗ ครั้ง รออัยการทหารทำสำนวนส่งฟ้อง แต่ปัญหามีว่าจำเลยมีสติสัมปชัญญะไม่สมประกอบ เป็นโรคจิตเภท ทนายยื่นค้านขอให้ยุติการดำเนินคดีและนำตัวผู้ต้องหาเข้ารับการดูแลรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์

แต่ติดปัญหาที่แพทย์ประจำสถาบันฯ วินิจฉัยแล้วว่าอาทิตย์วิกลจริตจริง แต่เสนอว่าให้ดำเนินคดีต่อไป เพราะเห็นว่าเขายังสามารถต่อสู้คดีได้ในศาล

(https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/04/sao_prosecution/)

เรื่องที่สาม “ตำรวจนอกเครื่องแบบบุกรื้อรั้ว จับกุม และทำร้ายชาวบ้านในพื้นที่พิพาทหนองไผ่ล้อม ต.หนองสาหร่าย...

โดยไม่มีหมาย ไม่แสดงตัว และไม่นำตัวไปสถานีตำรวจโดยพลัน” ทำให้นางชัชฎาภรณ์ข้อมือบวมจากการใส่กุญแจมือและลากถูลู่ถูกังไปสถานีตำรวจ พร้อมทั้งมีการทำร้ายทุบตีจนหน้าของนางฟกช้ำ




คดีนี้เป็นเรื่องไล่ที่ราชพัสดุซึ่งทางตำรวจได้รับอนุญาติก่อสร้างอาคารต่างๆ เพื่อใช้สำหรับศูนย์ฝึกยุทธวิธี แต่ชาวบ้านอยู่อาศัยที่ตรงนั้นมานานหลายสิบปี ไม่มีที่ไปไหนอื่น ทั้งที่ทางตำรวจอ้างว่าจะจัดหาสถานที่ใหม่ให้ ก็ไม่ปรากฏ

(https://tlhr2014.wordpress.com/)

ทั้งหมดข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐไทยภายใต้การคุมเข้มของ คสช. ได้ปล่อยปละละเลยให้เจ้าหน้าที่ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย เหลิงกับอำนาจเบ็ดเสร็จ ทำการปราบปรามประชาชนอย่างไม่คำนึงถึงสิทธิพื้นฐานส่วนบุคคล

จนหลายครั้งสื่อต่างประเทศและองค์กรนานาชาติ ต้องประณามความไร้เดียงสา หรือว่ามั่วนิ่มของระบบตุลาการไทย