เมื่อวาน ‘ลูกท้อป’ ของอดีตนายกฯ ‘เติ้งเสี่ยวหาร’ พูดได้ฉะฉานเสียจริงฐานะรัฐมนตรีว่าการพัฒนาสังคมฯ ในการปฏิเสธสวัสดิการถ้วนหน้า เรื่อง #เบี้ยผู้สูงอายุ ๑ พันบาท เขาว่าปีนี้ ‘เรา’ (หมายถึงรัฐบาล) “กู้มาอีกหลายแสนล้าน” เข้าไปแล้ว
เขาร่ายเป็นฉอดๆ (ช้อตช้อต) ตั้งแต่ “แค่เพิ่มเป็นสเต็ป (จาก ๓๐๐-๖๐๐-๘๐๐) เราก็ใช้เงินปีหนึ่งเป็นแสนล้าน ถ้าหากจะให้เป็นถ้วนหน้าขึ้นมา ต้องใช้เงินเพิ่มอีกประมาณปีละ ๖ หมื่นล้าน และจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นๆ ทุกปี”
เขาหมายถึงว่าคนที่จะมาใช้สวัสดิการ ๑,๐๐๐ บาทตัวนี้ละ จะเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นทุกปี เขาว่า ถ้ามีเงินพอนะ ทุกคน (ในรัฐบาล) ก็อยากให้แหละ “ตอนนี้ขาเข้ายังไม่เพียงพอ เมื่อไรมีเพียงพออย่าว่าแต่ ๑ พันบาทเลย เราก็อยากให้ถึง ๓ พันบาท กี่พันก็อยากให้”
ปัญหามันอยู่ที่ “วันนี้รายจ่ายกับรายรับยังไม่บาล้านซ์กัน” ทั่น รมว.ก็ไม่ได้บอกเสียด้วยว่าวันไหน วันหน้าหรือวันหลังจึงจะบาล้านซ์ได้ แล้วมันไม่ใช่แค่คนรอจะใช้เงินเพิ่มเท่านั้น คนช่วยจ่าย คือผู้เสียภาษีก็มีอยู่น้อยกะจ้อยร่อยเสียอีก
วราวุธ ศิลปอาชา ด้นต่อ “ตัวเลขล่าสุดปี ๒๕๖๕ ไปเช็คมาแล้ว คนที่ขึ้นทะบียนเสียภาษีกับสรรพากร มีอยู่ประมาณ ๑๑ ล้านคน จาก ๑๑ ล้านนี้มีคนเสียภาษีจริงๆ มีเพียง ๔ ล้านกว่า ไม่ถึง ๕ ล้าน” นี่ไม่นับ ภาษีจากบริษัทห้างร้าน ภาษีสรรพสามิต อะไรต่างๆ
ประการสำคัญเขา “อยากชี้ให้เห็นว่า...เรามีคนเสียภาษีอยู่เพียงแค่ไม่ถึง ๑๐% ของประชากรไทย” อันทำให้เงินขาเข้าไม่เท่าขาออก “คิดว่าสิ่งสำคัญคือเราควรเน้นดูแลกลุ่มคนที่เปราะบาง และมีความเดือดร้อนมากที่สุดเสียก่อน”
ทว่าเหล่านั้น มันไม่ควรเป็นข้ออ้างของรัฐบาลที่จะปฏิเสธการดูแลประชาชนอย่างถ้วนหน้า มิใช่หรือ ทั่นรัฐมนตรีพูดเหมือนประชากรเป็นภาระเกินกว่าพันธะที่ตนมี ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดหาให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนหรอกหรือ
ฮ่วย