วันศุกร์, มกราคม 05, 2567

เมื่อคำถามประชามติ "ล็อกหมวด1-2" Ilaw เปรียบเทียบผลของการ VOTE "YES" "NO" "NO VOTE" และ "ไม่ออกเสียง" หรือทำ "บัตรเสีย"



เลือกอะไรได้ไหม?? สำรวจทางเลือกในการออกเสียงเมื่อคำถามประชามติ "ล็อกหมวด1-2"

3 ม.ค. 2567 
โดย iLaw

25 ธันวาคม 2566 คณะกรรมการศึกษาแนวทางประชามติฯ สรุปผลการศึกษา ซึ่งออกมาไม่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีประกาศไว้ตั้งแต่ตอนแรก คือ จะจัดให้มีการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างน้อย 3 ครั้ง และจะมีการทำประชามติครั้งแรกขึ้นก่อน ซึ่งเป็นประชามติที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำแต่เกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ริเริ่มให้จัดทำเอง โดยเสนอให้ตั้งคำถามในการทำประชามติว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่แก้ไข หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”

การตั้งคำถามลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นการตั้งคำถามที่มีสองคำถามสองประเด็นอยู่ในคำถามเดียว คือ 1) ท่านเห็นชอบหรือไม่ ให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2) ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ซึ่งประชาชนบางคนอาจจะเห็นด้วยกับประเด็นที่ 1) แต่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่ 2) หรือบางคนอาจจะเห็นด้วยกับประเด็นที่ 2) แต่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่ 1) ก็จะไม่มีทางเลือกที่จะออกเสียงตามที่ตัวเองคิดเห็น เพราะคำถามได้ "ล็อก" มาแล้วให้ต้องตอบทั้งสองประเด็นไปในทางเดียวกันว่า "เห็นชอบ" กับทั้งสองประเด็นหรือ "ไม่เห็นชอบ" กับทั้งสองประเด็น เท่านั้น

คำถามที่จะใช้ในการทำประชามติ จะถูกตัดสินใจขั้นตอนสุดท้ายโดยคณะรัฐมนตรี ที่นำโดยเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งการตัดสินใจน่าจะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2567 แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากประชามติครั้งนี้ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดให้ต้องจัดทำ ดังนั้น ความสำคัญของการทำประชามติจึงเป็นการสอบถามความเห็นประชาชนคนไทยเพื่ออยากทราบความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น ซึ่งจะส่งผลสำคัญอย่างมากในทางการเมือง เสียงของประชาชนจะมีความหมายและถูกใช้ยืนยันเพื่อดำเนินการหรือไม่ดำเนินการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อไปอีกในภายภาคหน้า แต่ไม่ได้เป็นประชามติที่มีผลในทางกฎหมาย ไม่ว่าผลการทำประชามติจะออกมาอย่างไรก็ไม่ได้ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายใด

ภายใต้คำถามที่มีสองประเด็นซ้อนกันอยู่และอาจจะนำไปสู่ปัญหาได้มาก จึงชวนประชาชนช่วยกันคิด และชวนทำความเข้าใจว่า หากเกิดการทำประชามติขึ้นด้วยคำถามนี้ ประชาชนมีทางเลือกที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ได้อย่างไรบ้าง โดยวิเคราะห์จากผลของการออกเสียงในแต่ละแนวทาง และผลต่อเนื่องทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นหลังทราบผลการออกเสียงประชามติ

VOTE YES รัฐบาลเดินหน้าตามนโยบาย "หมวด1 หมวด2" ถูกล็อกยาว

เนื่องจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขในหมวด1 และหมวด 2 เป็นนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่ประกาศไว้เมื่อเข้าจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นแบบ "ผสมข้ามขั้ว" เรียบร้อยแล้ว หากประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติ "เห็นชอบ" หรือ Vote YES ต่อคำถามนี้ ก็จะเป็นการลงฉันทามติทางการเมืองครั้งสำคัญให้รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ดำเนินนโยบายตามแนวทางที่วางไว้ได้อย่างสะดวกโดยมีเสียงจากประชาชนให้การสนับสนุน

ซึ่งขั้นตอนต่อไปหลังผ่านการทำประชามติครั้งที่ 1 แล้ว รัฐบาลก็จะต้องเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อจัดตั้งสสร. รวมทั้งกำหนดที่มาของสสร. หากร่างผ่านการพิจารณาของทั้งสส. และสว. ก็ต้องมีการทำประชามติครั้งที่ 2 เพื่อรับรองร่างฉบับนี้ และหากผ่านประชามติครั้งที่ 2 ก็จะนำไปสู่การจัดตั้งสสร. และทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อมีร่างฉบับใหม่แล้วก็จะนำไปสู่การทำประชามติรับรองร่างฉบับใหม่ เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งรวมแล้วอาจใช้เวลาอย่างเร็วประมาณสองปี

โดยประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ คือ ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ก็จะมีการเขียน "ล็อก" ไว้ชัดเจนว่า สสร. ชุดใหม่จะไม่มีอำนาจในการแก้ไขหรือจัดทำหมวด 1 และหมวด 2 ใหม่ แต่จะต้องใช้ตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ทุกตัวอักษรต่อไป หากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ ก็จะต้องมีหมวด 1 และหมวด 2 ที่เหมือนกับฉบับปี 2560 เท่านั้น และในอนาคตอีกหลายปี หากมีการเสนอให้แก้ไขหมวด 1 หรือหมวด 2 ก็ย่อมจะมีเสียงคัดค้านจากคนที่ไม่ต้องการให้แก้ไข โดยหยิบยกผลการทำประชามติครั้งที่ 1 มาเป็นหลักอ้างอิงว่าประชาชนไม่ต้องการให้แก้ไข รวมทั้งหากมีองค์กรใดเข้ามาใช้อำนาจวินิจฉัย เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีน้ำหนักมากที่จะอ้างผลการทำประชามติครั้งนี้เพื่อสั่ง "ห้าม" แก้ไขหมวด 1-2 ได้ในทุกประเด็น

VOTE NO รัฐธรรมนูญใหม่ไม่ได้เริ่ม แต่ไม่ปิดตายสภาเสนอร่าง+แก้ไข

ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติ "ไม่เห็นชอบ" หรือ Vote NO ต่อคำถามนี้ ก็จะเกิดผลที่ชัดเจนตามประเด็นที่ 1) คือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายตามที่ประกาศไว้ได้ลำบากเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากประชาชน หากรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อจัดตั้งสสร. ก็เป็นไปได้มากที่สมาชิกรัฐสภาบางส่วนอาจลงมติ "ไม่เห็นชอบ" โดยอ้างว่าต้องลงมติไปตามผลการทำประชามติที่ประชาชนออกเสียงมา ทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ได้เริ่มขึ้นตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ หรืออาจจะไม่ได้เริ่มขึ้นในรัฐบาลนี้เลยก็ได้

แต่อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดความผูกพันของประชามติครั้งที่ 1 และไม่มีข้อห้ามว่า หากไม่ผ่านประชามติแล้วจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อจัดตั้งสสร. ไม่ได้ และไม่มีกฎหมายบังคับว่าสมาชิกรัฐสภาต้องลงมติอย่างไร หากสมาชิกรัฐสภาบางคนจะตีความว่า ผลการทำประชามติเกิดจากประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขในประเด็นที่ 2) ก็ยังลงมติให้ผ่านได้ เส้นทางของการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยรัฐสภาจึงยังไม่ได้ปิดตายในทางกฎหมาย แต่ในทางการเมืองเป็นไปได้ยาก ขึ้นอยู่กับประชาชนที่ลงมติ "ไม่เห็นชอบ" จะสามารถ "ส่งเสียง" สร้างคำอธิบายในทางสังคมได้หรือไม่ว่า การไม่เห็นชอบนั้นเป็นการไม่เห็นชอบกับเงื่อนไขประเด็นที่ 2) แต่ประชาชนยังคงต้องการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ทั้งฉบับ)

โดยประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ คือ เมื่อรัฐบาลจัดทำประชามติถามความเห็นจากประชาชนตามนโยบายที่ประกาศไว้ และได้ผลว่าประชาชนส่วนใหญ่ "ไม่เห็นชอบ" รัฐบาลจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร จะมีความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่ออย่างสง่างามได้อย่างไร หากผลการทำประชามติออกมาในแนวทางนี้ก็จะต้องทวงถามกันต่อไป

NO VOTE นอนอยู่บ้านก็มีผล คนใช้สิทธิไม่ถึงครึ่งเท่ากับ "คว่ำ"

พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 (พ.ร.บ.ประชามติฯ) มาตรา 13 กำหนดว่า "การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น" หมายความว่า ในการทำประชามติที่สำเร็จทุกครั้งนอกจากจะต้องมีผู้ออกเสียง "เห็นชอบ" เกินครึ่งแล้ว ยังต้องมีคนมาใช้สิทธิ "เกินครึ่ง" ของจำนวนผู้มีสิทธิด้วย ในทางวิชาการเรียกว่าต้องใช้ "เสียงเกินกึ่งหนึ่งสองชั้น" หรือ Double Majority

หมายความว่า หากประชาชนมากกว่าครึ่งของผู้มีสิทธิไม่เข้าร่วมกระบวนการทำประชามติครั้งนี้ อาจจะเพราะไม่สะดวก หรือไม่ได้ติดตามข่าวสาร หรือไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับประชามติที่เห็นว่าการตั้งคำถามมีปัญหา ก็อาจทำให้จำนวนผู้ไปใช้สิทธิไม่ถึงครึ่ง และไม่ว่าผู้ที่ไปออกเสียงส่วนใหญ่จะออกเสียงอย่างไรก็ทำให้การทำประชามติครั้งนี้ "ไม่สำเร็จ" หรือเมื่อใช้ถ้อยคำตามมาตรา 13 ก็ต้องเรียกว่า "ไม่ถือว่ามีข้อยุติ" เท่ากับรัฐบาลเศรษฐาล้มเหลวในการผลักดันและเดินหน้านโยบายการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ตามที่ได้ประกาศไว้

การที่ประชามติไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของมาตรา 13 ทำให้ไม่มีใครสามารถนำผลการทำประชามตินี้ไปอ้างอิงว่าเป็นความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเพื่อดำเนินการใดหรือขัดขวางการดำเนินการใดต่อได้ ผลการทำประชามติที่ได้อาจเป็นเพียงการส่งสัญญาณทางการเมืองว่าประชาชนเท่าที่มาออกเสียงคิดเห็นอย่างไร แต่ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะยืนยันดำเนินการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยไม่ต้องมีผลประชามติครั้งที่ 1 รองรับก็ยังสามารถทำได้ เพียงแต่มีความชอบธรรมทางการเมืองน้อยและสมาชิกรัฐสภาอาจจะไม่ลงคะแนนให้ หรือรัฐบาลอาจจะอยากแก้ตัวโดยการจัดทำประชามติอีกครั้งแล้วหวังว่าประชาชนจะไปลงคะแนนเสียงกันมากขึ้น ในทางกฎหมายก็ยังสามารถทำได้

"ไม่ออกเสียง" หรือ "บัตรเสีย" ไม่มีผลที่มีความหมายชัดเจน

สำหรับการเลือกตั้งสส. หากในเขตเลือกตั้งใดที่มีประชาชนออกเสียงในช่อง "ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" เป็นจำนวนมากกว่าคนที่ได้คะแนนสูงที่สุด แปลว่าต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจตัวผู้สมัคร แต่สำหรับการทำประชามติ หากประชาชนลงคะแนนในช่อง "ไม่แสดงความคิดเห็น" มากที่สุด ก็ไม่ได้มีผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายของการทำประชามติ

หากประชาชนไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามในการทำประชามติ จึงไม่สามารถออกเสียงไปในทางใดทางหนึ่งได้ และเลือกทำ "บัตรเสีย" ไม่ว่าจะเป็นการไม่กากบาทในช่องใดเลย หรือขีดเขียนข้อความใดเพิ่มเติม ก็จะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายของการทำประชามติ

ผลลัพธ์ของการทำประชามติก็จะขึ้นอยู่กับว่า มีผู้มาใช้สิทธิเกินครึ่งหรือไม่ และมีคนลงคะแนน "เห็นชอบ" หรือ "ไม่เห็นชอบ" มากกว่ากัน โดยไม่ได้พิจารณาจำนวนผู้ที่ "ไม่แสดงความคิดเห็น" หรือบัตรเสีย เว้นเสียแต่ว่าจะมีการรณรงค์และประชาชนจะสามารถ "ส่งเสียง" สร้างคำอธิบายในทางสังคมได้ว่า การ "ไม่แสดงความคิดเห็น" หรือการทำบัตรเสียนั้นมีความหมายอย่างไรในทางการเมือง

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
2 ประชามติ 2 สภาใหม่ ! คาดการณ์ 7 ขั้นตอนที่ไม่ง่ายสู่ "รัฐธรรมนูญประชาชน"
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส: ประชามติครั้งแรกต้องเป็นที่ยอมรับ การใส่ 'หมวด1-2' เป็นคำถามจะเพิ่มข้อถกเถียงต่อบทบาทของสถาบันฯ
กรรมการประชามติสรุป ถามประชามติเขียนรธน. ใหม่ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 จ่อเสนอครม. ภายในไตรมาสแรกปี 67
ผลงานกรรมการประชามติฯ เดินหน้าเป็นวงกลม ประชุมเกือบ 3 เดือนสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ