
Lookkate Chonthicha - ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว
17h
.

ข้อ 1: ไม่ปรากฏ “สิทธิ-เสรีภาพทางการเมืองและพลเมือง”
มีคำว่า “สิทธิมนุษยชน” 1 คำถ้วน จนน่าสงสัยว่ารัฐบาลจะตั้งใจมุ่งมั่นยกระดับสิทธิมนุษยชนซึ่งถูกรัฐบาลประยุทธ์บดขยี้ไปเกือบทศวรรษจริงหรือ ไม่ปรากฏสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น การชุมนุม หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอื่นๆ เลย ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับรัฐบาลประชาธิปไตยที่จะให้ประชาชาร่วมวิพากษ์ ร่วมตัดสินใจในบรรยากาศที่ปลอดภัย

ข้อ 2: เปลี่ยนจาก ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ เป็น ‘สวัสดิการโดยรัฐ’
รัฐบาลเศรษฐา มีการเปลี่ยนคำเรียกนโยบายสวัสดิการจาก ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ ในยุครัฐบาลประยุทธ์ เป็นคำว่า ‘สวัสดิการโดยรัฐ’ แต่ภายในเอกสารคำแถลงนโยบายกลับไม่มีการระบุรายละเอียดของนโยบายสวัสดิการที่ควรจะต้องเป็น ‘สวัสดิการถ้วนหน้า’ แบบไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน

ข้อ 3: กระจายอำนาจ ด้วยนโยบาย ‘ผู้ว่า CEO’ (???)
‘นโยบายผู้ว่า CEO’ ไม่ได้แสดงถึงการกระจายอำนาจโดยแท้จริง เพราะปัญหาหลักของนโยบายนี้คือ การยังคงรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด และไม่ได้กล่าวถึงการมีผู้ว่าฯที่มาจาากการเลือกตั้ง เพียงแต่ได้มีการเสนอช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งเป็นกลไกปกติที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว

ข้อ 4: ไม่ชัดเจนเรื่องการแก้ไข ‘รัฐธรรมนูญ’
แม้ว่าคำแถลงนโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือ การแก้ปัญหาความเห็นต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 แต่จะไม่แก้รัฐธรรมนูญ หมวดกษัตริย์ ในขณะที่เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประชาชนกว่าสองแสนคนออกมาร่วมกันลงชื่อเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หรือเสียงของพวกเขาเหล่านี้ไม่มีความหมาย ? นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและสสร มีเพียงบอกว่า จะหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในสภาเท่านั้น

ข้อ 5: ไม่มีการันตี "ค่าแรงขั้นต่ำ"
บอกเพียงว่า "ค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม" อาจไม่พอ รัฐบาลกี่ยุคกี่สมัยปรับค่าแรงขั้นต่ำตามอำเภอใจ อยากปรับเมื่อไหร่ค่อยปรับ การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” ตามกฎหมาย และต้องปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ข้อ 6: ไม่ยุบ กอ.รมน.
แม้ กอ.รมน. จะเป็นหน่วยงานใต้สำนักนายกรัฐมนตรี แต่โครงสร้างภายในทั้งหมดล้วนมาจากคนในกองทัพ จึงถูกใช้เป็นมือไม้ของกองทัพในการสั่งการหน่วยงานรัฐอื่น ๆ (เช่น มหาดไทย ศึกษาธิการ สาธารณสุข) จนกลายเป็นสร้าง ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ขึ้นมาแบบยัดเยียดและขยายนิยามความมั่นคงแบบทหาร มาใช้จัดการความมั่นคงภายใน และเปลี่ยนประชาชนที่เห็นต่างให้กลายเป็นศัตรู การไม่ยุบหน่วยงานนี้ เเต่เพียงจะกำหนดอัตรากำลัง อาจไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้

ข้อ 7: ไม่กล่าวถึง ‘สันติภาพ’ จังหวัดชายแดนใต้
การแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ไม่ได้มีการกล่าวถึงวิสัยทัศน์หรือแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การสร้าง ‘สันติภาพ’ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงการใช้คำเลื่อนลอยถึงการผลักดันการพัฒนาในมิติด้านเศรษฐกิจชายแดน แต่ละเลยมิติด้านการเมือง สังคมและวัฒนธรรมไปหมดสิ้น จึงอาจตั้งคำถามได้ว่า สันติภาพจังหวัดชายแดนใต้ ไม่มีความสำคัญในสายตาของรัฐบาลชุดใหม่ ใช่หรือไม่?

ข้อ 8: ไม่กล่าวถึง “ผู้ลี้ภัย” - “ผู้หนีภัยสู้รบ” จากประเทศเพื่อนบ้าน
มีผู้ลี้ภัยจากสงครามในประเทศเมียนมาราว 96,000 คนอาศัยในค่ายพักพิงในประเทศไทย คำถามสำคัญคือประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมประชาคมอาเซียน จะดำเนินการกับวิกฤตมนุษยธรรมนี้อย่างไร นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของชีวิตของพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตแดนไทยที่กำลังได้รับผลกระทบจากสงครามในเมียนมาด้วย

ข้อ 9: ขาดมิติ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน”
เศรษฐกิจจะเติบโตแบบไร้ความเป็นมนุษย์ไม่ได้ พูดง่ายๆ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” คือแนวคิดที่ป้องกันสิทธิต่างๆ ไม่ให้เกิดการทำนาบนหลังคน เช่น สิทธิแรงงาน สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิที่ดิน-ที่ทำกิน เป็นต้น น่ากังวลมากว่าคำแถลงนโยบายรัฐบาลที่ไม่ใส่ใจสิทธิมนุษยชนแบบนี้ เศรษฐกิจอาจจะฟื้น แต่ประชาชน (บางส่วน) อาจจะฟุบ
17h
.

ข้อ 1: ไม่ปรากฏ “สิทธิ-เสรีภาพทางการเมืองและพลเมือง”
มีคำว่า “สิทธิมนุษยชน” 1 คำถ้วน จนน่าสงสัยว่ารัฐบาลจะตั้งใจมุ่งมั่นยกระดับสิทธิมนุษยชนซึ่งถูกรัฐบาลประยุทธ์บดขยี้ไปเกือบทศวรรษจริงหรือ ไม่ปรากฏสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น การชุมนุม หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอื่นๆ เลย ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับรัฐบาลประชาธิปไตยที่จะให้ประชาชาร่วมวิพากษ์ ร่วมตัดสินใจในบรรยากาศที่ปลอดภัย

ข้อ 2: เปลี่ยนจาก ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ เป็น ‘สวัสดิการโดยรัฐ’
รัฐบาลเศรษฐา มีการเปลี่ยนคำเรียกนโยบายสวัสดิการจาก ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ ในยุครัฐบาลประยุทธ์ เป็นคำว่า ‘สวัสดิการโดยรัฐ’ แต่ภายในเอกสารคำแถลงนโยบายกลับไม่มีการระบุรายละเอียดของนโยบายสวัสดิการที่ควรจะต้องเป็น ‘สวัสดิการถ้วนหน้า’ แบบไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน

ข้อ 3: กระจายอำนาจ ด้วยนโยบาย ‘ผู้ว่า CEO’ (???)
‘นโยบายผู้ว่า CEO’ ไม่ได้แสดงถึงการกระจายอำนาจโดยแท้จริง เพราะปัญหาหลักของนโยบายนี้คือ การยังคงรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด และไม่ได้กล่าวถึงการมีผู้ว่าฯที่มาจาากการเลือกตั้ง เพียงแต่ได้มีการเสนอช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งเป็นกลไกปกติที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว

ข้อ 4: ไม่ชัดเจนเรื่องการแก้ไข ‘รัฐธรรมนูญ’
แม้ว่าคำแถลงนโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือ การแก้ปัญหาความเห็นต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 แต่จะไม่แก้รัฐธรรมนูญ หมวดกษัตริย์ ในขณะที่เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประชาชนกว่าสองแสนคนออกมาร่วมกันลงชื่อเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หรือเสียงของพวกเขาเหล่านี้ไม่มีความหมาย ? นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและสสร มีเพียงบอกว่า จะหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในสภาเท่านั้น

ข้อ 5: ไม่มีการันตี "ค่าแรงขั้นต่ำ"
บอกเพียงว่า "ค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม" อาจไม่พอ รัฐบาลกี่ยุคกี่สมัยปรับค่าแรงขั้นต่ำตามอำเภอใจ อยากปรับเมื่อไหร่ค่อยปรับ การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ “ต้องทำ” ตามกฎหมาย และต้องปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ข้อ 6: ไม่ยุบ กอ.รมน.
แม้ กอ.รมน. จะเป็นหน่วยงานใต้สำนักนายกรัฐมนตรี แต่โครงสร้างภายในทั้งหมดล้วนมาจากคนในกองทัพ จึงถูกใช้เป็นมือไม้ของกองทัพในการสั่งการหน่วยงานรัฐอื่น ๆ (เช่น มหาดไทย ศึกษาธิการ สาธารณสุข) จนกลายเป็นสร้าง ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ขึ้นมาแบบยัดเยียดและขยายนิยามความมั่นคงแบบทหาร มาใช้จัดการความมั่นคงภายใน และเปลี่ยนประชาชนที่เห็นต่างให้กลายเป็นศัตรู การไม่ยุบหน่วยงานนี้ เเต่เพียงจะกำหนดอัตรากำลัง อาจไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้

ข้อ 7: ไม่กล่าวถึง ‘สันติภาพ’ จังหวัดชายแดนใต้
การแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ไม่ได้มีการกล่าวถึงวิสัยทัศน์หรือแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การสร้าง ‘สันติภาพ’ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงการใช้คำเลื่อนลอยถึงการผลักดันการพัฒนาในมิติด้านเศรษฐกิจชายแดน แต่ละเลยมิติด้านการเมือง สังคมและวัฒนธรรมไปหมดสิ้น จึงอาจตั้งคำถามได้ว่า สันติภาพจังหวัดชายแดนใต้ ไม่มีความสำคัญในสายตาของรัฐบาลชุดใหม่ ใช่หรือไม่?

ข้อ 8: ไม่กล่าวถึง “ผู้ลี้ภัย” - “ผู้หนีภัยสู้รบ” จากประเทศเพื่อนบ้าน
มีผู้ลี้ภัยจากสงครามในประเทศเมียนมาราว 96,000 คนอาศัยในค่ายพักพิงในประเทศไทย คำถามสำคัญคือประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมประชาคมอาเซียน จะดำเนินการกับวิกฤตมนุษยธรรมนี้อย่างไร นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของชีวิตของพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตแดนไทยที่กำลังได้รับผลกระทบจากสงครามในเมียนมาด้วย

ข้อ 9: ขาดมิติ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน”
เศรษฐกิจจะเติบโตแบบไร้ความเป็นมนุษย์ไม่ได้ พูดง่ายๆ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” คือแนวคิดที่ป้องกันสิทธิต่างๆ ไม่ให้เกิดการทำนาบนหลังคน เช่น สิทธิแรงงาน สิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิที่ดิน-ที่ทำกิน เป็นต้น น่ากังวลมากว่าคำแถลงนโยบายรัฐบาลที่ไม่ใส่ใจสิทธิมนุษยชนแบบนี้ เศรษฐกิจอาจจะฟื้น แต่ประชาชน (บางส่วน) อาจจะฟุบ