"พ่อก็รักส้ม...พ่อก็รักฟ้า" พิธา กล่าวตอบเสียงตะโกนจากผู้สนับสนุน
เลือกตั้ง 2566 : สรุปเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายพรรคก้าวไกล เพื่อไทย และทุกพรรคหลัก
12 พฤษภาคม 2023
บีบีซีไทย
พรรคการเมืองต่าง ๆ ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย เพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.
วันที่ 12 พ.ค. 2566 พรรคการเมืองหลักพรรคแรกที่เริ่มการปราศรัยใหญ่ คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เรียกร้องให้ผู้มีสิทธิลงคะแนน กา 2 ใบให้ พปชร. ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อ "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" และ "ก้าวข้ามความยากจน" พร้อมชู พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ "นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย"
ด้าน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ยืนกรานว่า พรรคเพื่อไทยยืนหยัดเพื่อประชาชนมาเสมอ "ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่อยู่เคียงข้างประชาชน ถูกยุบมาแล้วสองครั้งจะกลับมาแบบนี้เหรอคะ"
ส่วน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยรักษาชาติ ชี้ “ปี 2562 เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ ปี 2566 ความสงบก็จบที่ลุงเหมือนเดิม”
บีบีซีไทย สรุปใจความสำคัญจากทุกเวทีปราศรัยใหญ่สุดท้ายของทุกพรรคการเมืองหลัก เพื่อประกอบการพิจารณา ก่อนคุณผู้ชมเข้าคูหา กำหนดอนาคตประเทศในวันที่ 14 พ.ค.
ก้าวไกล ปลุกการเมืองแห่งความหวัง ปักธงส้ม "ทั้งแผ่นดิน"
พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดปราศรัยภายใต้คำขวัญ "คำตอบสุดท้าย ก้าวไกล ทั้งแผ่นดิน" จัดขึ้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ซึ่งพรรคจัดเตรียมพื้นที่ภายในอาคารและด้านนอกในสนามฟุตบอล รวมพื้นที่ 12,900 ตารางเมตร โดย พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงประกาศว่ามีประชาชนเข้าร่วมภายในอาคารกว่า 10,000 คน และด้านนอกเต็มสนามฟุตบอล (2 สนาม)
“เรามองว่าพรรคนี้เป็นความหวังของประเทศ… พวกเขาอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตย” แบงค์ ภิญญาพัชญ์ ผู้สนับสนุน พรรคก้าวไกล วัย 27 ปี กล่าวกับบีบีซีไทย
พรรคการเมืองต่าง ๆ ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย เพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.
วันที่ 12 พ.ค. 2566 พรรคการเมืองหลักพรรคแรกที่เริ่มการปราศรัยใหญ่ คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เรียกร้องให้ผู้มีสิทธิลงคะแนน กา 2 ใบให้ พปชร. ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อ "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" และ "ก้าวข้ามความยากจน" พร้อมชู พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ "นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย"
ด้าน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ยืนกรานว่า พรรคเพื่อไทยยืนหยัดเพื่อประชาชนมาเสมอ "ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่อยู่เคียงข้างประชาชน ถูกยุบมาแล้วสองครั้งจะกลับมาแบบนี้เหรอคะ"
ส่วน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยรักษาชาติ ชี้ “ปี 2562 เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ ปี 2566 ความสงบก็จบที่ลุงเหมือนเดิม”
บีบีซีไทย สรุปใจความสำคัญจากทุกเวทีปราศรัยใหญ่สุดท้ายของทุกพรรคการเมืองหลัก เพื่อประกอบการพิจารณา ก่อนคุณผู้ชมเข้าคูหา กำหนดอนาคตประเทศในวันที่ 14 พ.ค.
ก้าวไกล ปลุกการเมืองแห่งความหวัง ปักธงส้ม "ทั้งแผ่นดิน"
พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดปราศรัยภายใต้คำขวัญ "คำตอบสุดท้าย ก้าวไกล ทั้งแผ่นดิน" จัดขึ้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ซึ่งพรรคจัดเตรียมพื้นที่ภายในอาคารและด้านนอกในสนามฟุตบอล รวมพื้นที่ 12,900 ตารางเมตร โดย พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงประกาศว่ามีประชาชนเข้าร่วมภายในอาคารกว่า 10,000 คน และด้านนอกเต็มสนามฟุตบอล (2 สนาม)
“เรามองว่าพรรคนี้เป็นความหวังของประเทศ… พวกเขาอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตย” แบงค์ ภิญญาพัชญ์ ผู้สนับสนุน พรรคก้าวไกล วัย 27 ปี กล่าวกับบีบีซีไทย
พรรณิการ์ ระบุว่า มีประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัย รวมทั้งในอาคารและนอกอาคาร กว่า 50,000 คน ขณะที่มีผู้ฟังไลฟ์สดผ่านยูทิวบ์ พร้อมกันสูงสุด ราว 150,000 คน
แคมเปญในช่วงสุดท้ายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ของพรรค ก.ก. ที่ประกาศย้ำว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” ส่งผลต่อกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้นของพรรคก้าวไกล ประกอบกับแคมเปญหาเสียงในรูปแบบคาราวานรถแห่ 4 สาย พร้อมแกนนำพรรคในทุกภูมิภาคทั่วไทย ทำให้เกิดภาพมวลชน "สีส้ม" ในหลายจังหวัดที่ ก.ก. เดินสายขอคะแนนเสียงให้กับ ส.ส. แบบแบ่งเขต
เวทีปราศรัยสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง มีการปรากฏตัวของอดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ส.ส.
พรรณิการ์ วานิช ปราศรัยว่า “จุดขายของพรรคก้าวไกลที่ต่างจากพรรคอื่น คือ เป็นพรรคที่เกิดจากประชาชนและมีเจ้านายคนเดียว คือ ประชาชน”
ด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล เปิดปราศรัยว่า ก้าวไกล ต้องการให้การเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค. เป็นการเลือกตั้งที่ “เอากรงขัง” ของอดีตออกไป กระแสของพรรค ในช่วงโค้งสุดท้ายจากคาราวานพรรคก้าวไกล 4 ภาคทำให้เห็นว่าประชาชนมีความหวัง และเรียกกระแสที่เกิดขึ้นว่า เป็น “ปรากฏการณ์ ก้าวไกลไฟลามทุ่ง ไปทั่วประเทศ”
“ปรากฏการณ์เช่นนี้ ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ในอดีต พยายามหยุดพวกเรา เกิดความกลัว ว่า โลกแบบใหม่ ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงเอาความกลัวมาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งความหวังของพี่น้องประชาชน”
"ถ้าวันนี้เขาไม่แลนด์สไลด์ จะไม่ได้กลับมามีอำนาจอีก" ปิยบุตร พาดพิงถึงพรรคเพื่อไทย
ปิยบุตร ปราศรัยต่อถึงเรื่อง “ความกลัว” ว่า อีกฝ่ายใช้ความกลัววาดภาพให้ก้าวไกลเป็นปีศาจ เป็นพวกยุยงปลุกปลั่น เป็นพวกสุดโต่งชังชาติ และบิดเบือนนโยบายของก้าวไกล โดยช่วงหนึ่ง เขาได้กล่าวพาดพิงคำขวัญเลือกตั้งของพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้าน ว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่มี “ความกลัว” ต่อพรรคก้าวไกล
“พี่น้องครับ เขายังกลัวอะไรอีก เขามีความกลัวว่า ถ้าวันนี้เขาไม่แลนด์สไลด์ จะไม่ได้กลับมามีอำนาจอีก… ความกลัวพยายามจะบอกเราว่าให้เราหยุดที่การเปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนรัฐบาลก็พอแล้ว แต่ความหวังบอกเราว่า เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ แต่ต้องเปลี่ยนอนาคตประเทศไทยด้วย”
อดีต กก.บก. อดีตพรรคอนาคตใหม่ ยังปราศรัยขอให้ผู้สนับสนุนเลือก ส.ส. แบบแบ่งเขต โดยไม่แบ่งใจให้พรรคอื่น พร้อมประกาศขอคะแนนบัญชีรายชื่อให้ ได้ 10-12 ล้านเสียงทั่วประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยแล้ว
“เสียงการเปลี่ยนแปลงดังอยู่หน้าบ้านท่าน จงใช้การเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์ 14 พ.ค. นี้ขอให้พี่น้องประชาชนกากบาทก้าวไกลให้ถล่มทลาย ให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต… 14 พ.ค. นี้ คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
"ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ฉันทามติแห่งความเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นเท่าตอนนี้” ธนาธร
ต่อมาคือคิวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรค ก.ก. ที่กลับมาเวทีเดิมที่ 4 ปีก่อนเขาเคยขึ้นปราศรัยในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เขากล่าวว่า "อนาคตใหม่ฆ่าไม่ตาย" แต่กลับโตขึ้นและมีการตื่นรู้ของสังคมไทย การเดินทางของอนาคตใหม่และก้าวไกลไม่ได้ถูกทำลาย "โมงยามแห่งความเปลี่ยนแปลงเกืดขึ้นแล้ว และจะไม่ย้อนกลับไปหาอดีต"
เขาได้ขอให้ประชาชนส่งพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี “ในช่วงเวลา สี่ปีที่ผ่านมาไม่มีช่วงเวลาไหนที่ฉันทามติแห่งความเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นเท่าตอนนี้”
ก้าวไกล ชูสโลแกน "ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน"
ด้าน ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ก.ก. ระบุว่า การเมืองที่จะยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชนจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่แก้โจทย์แห่งยุคสมัย นั่นจึงเป็นที่มาของการเมืองแบบอนาคตใหม่และก้าวไกล ขณะที่การเมืองเดิม ให้ความสำคัญเฉพาะการชนะเลือกตั้งเพื่อสลับกันมีอำนาจ คนละสมัย แต่ไม่มีโครงการเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยเลย
“เราจึงไม่เห็นการปฏิรูปกองทัพ… สุดท้าย ชาวนาก็ถูกงูเห่าฉกตายในตอนจบ ถูกงูเห่าฉกตายครัวแล้วครั้งเล่า พวกเขาหวังเอาชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ไม่เคยเอาชนะ ความคิดทางสังคมได้เลย จึงไม่สามารถปกปักรักษาอำนาจของประชาชนได้” ชัยธวัช กล่าว
“ไม่ต้องกลัวว่ากาก้าวไกลแล้วคะแนนจะตกน้ำเพราะทุกคะแนนคือความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน แค่กาก้าวไกลถล่มทลาย สังคมไทยก็เปลี่ยนแล้ว”
พิธา ปรากฎตัวขึ้นเป็นคนสุดท้าย
บุคคลสุดท้ายที่ปรากฎตัว คือ คนที่ประชาชนภายในอาคารต่างเฝ้ารอ คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นปราศรัย เป็นคนสุดท้ายของเวที เขาเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า “เวลาของพวกเรามาถึงแล้ว”
พิธา ปราศรัยต่อด้วยว่า ผู้นำคนต่อไปต้องพร้อมจะแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ พร้อมจะนำประเทศไทยไปสู่อนาคต
ปัญหาเก่าที่หัวหน้าพรรค ก.ก. ประกาศว่าต้องแก้ คือ การยุติวงจรการรัฐประหาร และคืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภาและประชาธิปไตย ขณะที่ปัญหาใหม่ที่พิธาได้ชวนให้สังคมกลับมา “ตั้งสติอย่างมีวุฒิภาวะ” ต่อประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 เพราะขณะนี้มีเด็กหญิงอายุเพียง 15 ปี กำลังถูกคุมขัง
“เรายอมรับหรือไม่ว่าสิ่งที่คุณรุ่นใหม่กำลังเผชิญเป็นมรดกตกทอดจากคนรุ่นเก่า… เป็นเพราะพวกเราสมัยก่อน ที่ดึงสถาบันเอามาโจมตีกัน” พิธากล่าว พร้อมบอกว่า นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไม ผู้นำคนต่อไป ต้องสามารถนำพาให้เกิดการวางพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่อย่างสง่างาม
ช่วงท้ายของการปราศรัย พิธา ได้ประกาศความพร้อมเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป และพร้อมรับฟังและเรียนรู้จากคนที่เห็นต่าง
“วันนี้ผมพร้อมแล้วครับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกผม ผมก็พร้อมจะรับใช้ท่าน”
ถ้อยคำสุดท้ายแคนดิเดตนายกฯ จากก้าวไกล ตอกย้ำด้วยว่า ขอให้ “เลือกอนาคตอย่าเลือกอดีต เลือกด้วยความหวัง อย่าเลือกด้วยความกลัว และคำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
ก่อประกาศความชัดเจนเป็นครั้งสุดท้ายว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง”
ทีมข่าวบีบีซีไทยในพื้นที่ ระบุว่า ช่อ-พรรณิการ์ ประกาศว่า มีประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัย รวมทั้งในอาคารและนอกอาคาร กว่า 50,000 คน ขณะที่มีผู้ฟังไลฟ์สดผ่านยูทิวบ์ พร้อมกันสูงสุด ราว 150,000 คน
เพื่อไทย ชูปิดสวิตช์ 3 ป. ปิดสวิทช์ ส.ว. คนไทยมีกินมีใช้
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเดิมกล่าวในการปราศรัยช่วงแรก ย้ำ "เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที" และกล่าวเพิ่มเติมว่า "ต้องแลนด์สไลด์ เพื่อไม่ให้สูญเสียและขาดโอกาสเพื่อที่จะสามารถตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย" โดยจะต้องต้องได้ ส.ส. 286 ที่นั่ง เพื่อเอาสองลุง (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี) ออกไป
"ผมมั่นใจว่า หากเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ในบรรดา ส.ว. 250 คน ส่วนหนึ่งจะตัดสินเข้าข้างประชาธิปไตยโดยเลือกแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย"
ด้าน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเปิดการปราศรัยด้วยการบอกเหตุผลว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงมีแคนดิเดต 3 คน ว่า ตลอดการเดินทางตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ทางพรรคได้เผชิญกับหลายสิ่งจนทำให้ได้เรียนรู้ และจะไม่ประมาท
"เราประมาทไม่ได้เลยกับกติกาที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ กติกาที่เคยยุบพรรคของเรามาถึงสองครั้ง แคนดิเดตทั้งสามคนของพรรคเพื่อไทย เราทำงานทั้งสามคน... ในวันนี้ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ตามที่เป็นนายกรัฐมนตรี อีกสองคนจะช่วยกันสนับสนุน จนทำให้นโยบายที่ทำตามสัญญาต่อประชาชนให้สำเร็จทุกนโยบาย" น.ส. แพทองธาร กล่าวย้ำ
บุตรสาวคนเล็กของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา พรรคฯ ได้รับบทเรียนที่จะไม่ทำให้พรรคเพื่อไทยสั่นคลอน และสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้ทำมาโดยตลอดที่ทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ "ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนเวลา" เป็น "เสือตัวที่ห้าของเอเชีย" และ ปรับค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
"ดิฉันเคยได้ยินนะคะว่า พรรคที่ถูกรัฐประหารมา ไม่สู้เคียงข้างประชาชน ถ้าไม่สู้เคียงข้างประชาชน ดิฉันจะยืนอยู่ตรงนี้วันนี้เหรอคะ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่อยู่เคียงข้างประชาชน ถูกยุบมาแล้วสองครั้งจะกลับมาแบบนี้เหรอคะ"
"อย่าเลือกเพราะความกลัว จงเลือกเพื่อความชัวร์" เศรษฐา กล่าว
ช่วงหนึ่งในการกล่าวปราศรัย น.ส. แพทองธาร เผยความในใจว่า ก่อนเข้าร่วมการปราศรัยครั้งนี้เธอได้คุยกับบิดาของเธอ ที่ระบุว่าอยากจะกลับมาเมืองไทย
"ท่านพูดกับดิฉันอย่างไม่มีเงื่อนไขว่า ถ้าพ่อกลับมาติดคุก และระหว่างที่พ่ออยู่ในคุก ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลอยากจะขอคำแนะนำ หวังว่ามันสมองของท่านจะช่วยให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจไปได้"
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำในช่วงท้ายของการปราศรัยว่า อยากให้คนไทยเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายให้สำเร็จ พร้อมรับฟังเสียงประชาชน และบริหารประเทศอย่างโปร่งใส
"ประเทศไทยไม่มีโอกาสให้เสี่ยงแล้ว เสี่ยงที่จะเปิดโอกาสให้รัฐบาลเผด็จการมากุมอำนาจตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยค้านมติของประชาชน เสี่ยงที่เสียงของฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกบั่นทอนจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม เสี่ยงที่ลงคะแนนแบบไม่มียุทธศาสตร์จะทำให้ฝ่ายเผด็จการกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง" นายเศรษฐา กล่าว
ประชาชนแน่นเต็มความจุของสถานที่ที่มีความจุราว 12,000 ที่นั่ง
"อย่าเลือกเพราะความกลัว จงเลือกเพื่อความชัวร์" เขากล่าวทิ้งท้ายเพื่อวิงวอนผู้สนับสนุน
สำหรับค่ำคืนนี้เป็นการปราศรัยครั้งสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยในจัดขึ้นภายในศูนย์การประชุมอิมแพค อารีนา มีกลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองในเขตเลือกตั้งจากกรุงเทพและปริมณฑลมาร่วมฟังการปราศรัยเกือบเต็มความจุของสถานที่ที่มีความจุราว 12,000 ที่นั่ง
ทีมข่าวบีบีซีไทย ได้พูดคุยกับ น.ส. เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง หนึ่งในสมาชิกกลุ่มทะลุวังและผู้ต้องหาคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เดินทางมาสังเกตการณ์เวทีพรรคเพื่อไทย เธอหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคใดที่ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล ก็อยากให้ร่วมมือกันในส่วนของพรรคที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
“ที่สำคัญคือ ต้องการให้รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการคืนความยุติธรรมและยุติการดำเนินคดีทางการเมืองต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง” เธอกล่าวย้ำ
นอกจากกลุ่มนักกิจกรรมของ น.ส. เนติพร แล้ว วันนี้ยังมีกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยมาแจกเอกสารข้อเสนอประเทศจากภาคประชาชนถึงรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งอีกด้วย
นักเคลื่อนไหวที่มาจัดกิจกรรมในพื้นที่
รทสช. : “อย่าให้ลุงตู่สู้อยู่คนเดียว” โหวตเลือก “คนดี” เพื่อปกป้องคุณค่าความเป็นไทย
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เริ่มต้นกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ด้วยการนำประชาชนยืนถวายความเคารพ และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นได้ส่งแกนนำพรรคสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยอีก 8 คน เนื้อหาส่วนใหญ่ เป็นการเชิญชวนให้ประชาชน “แสดงพลังรักชาติ รักแผ่นดิน ด้วยการออกมาเลือกลุงตู่” และ “เลือกคนดีให้ปกครองบ้านเมือง”
“ไม่ใช่แค่ช้างศึก แต่นักรบทั้งชายและหญิงที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต้องออกไปเลือกตั้ง รวมใจสร้างชาติ รวมเป็นหนึ่งเดียว… อย่าปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะอันตราย” นพ. เหรียญทอง แน่นหนา ประธานกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต รทสช. กล่าว
การจัดปราศรัยปิดของพรรค รทสช. เกิดขึ้นภายใต้คำขวัญ “อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว ขอเชิญช้างศึกออกมาช่วยกันรักษาบ้านเมือง รวมทุกหัวใจ รวมไทยสร้างชาติ”
เริ่มต้นกิจกรรมปราศรัยใหญ่ ด้วยการนำประชาชนยืนถวายความเคารพ และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี
การพูดถึง “ช้างศึก” ของแกนนำพรรค รทสช. เป็นไปเพื่อหักล้างวาทกรรม “ช้างป่วย” ของพรรคก้าวไกล ซึ่งวิจารณ์วิธีการจัดงบประมาณประเทศของรัฐบาล “ประยุทธ์” ซึ่งจะไม่สามารถทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้นำมาบิดผันว่าการตัด “งบช้างป่วย” หมายถึงการตัดเงินข้าราชการบำนาญ
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรค รทสช. ยกคำกล่าวของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ว่า “เกิดเป็นคนไทยต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน” มาพูดถึง และบอกประชาชนว่า 14 พ.ค. เป็นโอกาสตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
“จงตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนบุญคุณพระมหากษัตริย์ ตอบแทนบุญคุณของทุกสถาบัน ด้วยการป้องกันไม่ให้คนชั่วเข้าไปในสภาได้ ไม่ให้มีรัฐบาลชั่ว ส่งเสริมคนดีเข้าไปในสภา เพื่อให้คนดีเหล่านั้นไปเลือกรัฐบาลที่ดี ๆ เลือกนายกฯ ดี ๆ ซึ่ง 8 ปีไม่เคยแดกเลย ไม่เคยทุจริตคอร์รัปชัน และไม่เคยคบคนชั่ว” นายไตรรงค์กล่าว และย้ำว่า ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ขัดขวางคนชั่วไม่ให้เข้าสภาได้
ต่อมา ถึงคิวปราศรัยปิดเวทีโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค รทสช. ซึ่งระบุตอนหนึ่งว่า “ปี 2562 เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ ปี 2566 ความสงบก็จบที่ลุงเหมือนเดิม”
"ปี 2566 ความสงบก็จบที่ลุงเหมือนเดิม”
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ที่มายืนอยู่ตรงนี้เพราะต้องการให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ไปต่อด้วยความรัก ความสามัคคี ความเข้มแข็ง พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
“วันนี้ผมไม่เสียใจที่เป็นทหารมา ได้ดูแลปกป้องแผ่นดินผืนนี้ให้แก่พวกเรา ผมต้องการให้แผ่นดินผืนนี้เป็นแผ่นดินสันติสุข คนไทยรักสามัคคี การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นดินรับได้ไหม อะไรจะเสียหาย เราไม่รู้อะไรจะตามมา วันนี้เรามีของเราอยู่แล้ว”
“ทุกคนต้องไม่ปล่อยให้ผมสู้อยู่คนเดียว ใครจะสู้ไปกับผมบ้าง เราต้องรวมใจออกมาปกป้องคุณค่าของความเป็นคนไทย คุณค่าของประเทศไทยที่ทุกคนยอมรับทั่วโลก เราไม่ได้ด้อยกว่าใคร” แคนดิเดตนายกฯ จากพรรค รทสช. กล่าว
จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์นำปักธงชาติไทย และประกาศ “รวมทุกหัวใจ รวมไทยสร้างชาติ” ก่อนลาเวที
พลังประชารัฐ : ชูก้าวข้ามความขัดแย้ง พล.อ. ประวิตร เหมาะเป็นนายกฯ
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นพรรคการเมืองหลักพรรคแรกที่จัดปราศรัยใหญ่ เวลาราว 13.00-16.00 น. ปักหลักที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ภายใต้คำขวัญส่งท้าย : "ก้าวความขัดแย้ง ก้าวแรกคือรับฟังความคิดเห็น"
ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ทั้ง 500 คน มารวมตัวเพื่อชูหลักการ "ก้าวความขัดแย้ง" ในฐานะคำตอบของ "การเมืองไทยในยุคนี้"
นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ อธิบายว่า แม้จะเน้นการก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็พร้อมขัดแย้ง หากบั่นทอน-ดูหมิ่น 3 สถาบัน
"มีเส้นบางอย่างที่ก้าวข้ามไม่ได้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พรรคการเมืองใดก็ตามถ้าไม่เอา 3 สถาบันนี้ หรือทำให้สั่นคลอน ดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบันเหล่านี้ ถ้าจะขัดแย้งก็ต้องขัดแย้ง" นายสกลธี ประกาศ
"ก้าวความขัดแย้ง ก้าวแรกคือรับฟังความคิดเห็น" คำขวัญทิ้งทวนของ พปชร.
"ถ้ากาผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐทุกเขตเลือกตั้ง ผมยืนยันกับท่านว่าจะได้ผู้นำและพรรคการเมือง ที่พร้อมจะก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความขัดแย้งอย่างแท้จริง" นายสกลธี ระบุ หลังชู "ลุงป้อม" หรือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งได้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ต่อมา พล.อ. ประวิตร เดินขึ้นสู่เวทีปราศรัย และยืนปราศรัยบนเวทีเพียงผู้เดียว ด้วยน้ำเสียงดัง ชัด และคล่องแคล่ว "ภารกิจสุดท้ายในชีวิตผม คือ การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประเทศไทย ทุกท่านช่วยไหม"
พล.อ. ประวิตร อธิบายต่อประชาชนผู้สนับสนุนว่า ทำไมต้องเป็นเขาที่จะขึ้นนำรัฐบาล เพราะ "คุยได้กับทุกคน รับฟังความเห็นต่างได้ทุกฝ่าย โดยไม่มีอคติ" แล้วยังไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีธุรกิจ และไม่มีภาระใด ๆ"
"นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย"
"ประเทศของเรายังมีปัญหาอีกมาก โดยเฉพาะปัญหาความยากจนและปากท้อง จนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวล่วงสถาบัน" รองนายกฯ จาก พปชร. กล่าว "ผมและพลังประชารัฐมุ่งเอาชนะปัญหาเหล่านี้ให้ได้"
ภูมิใจไทย : พูดแล้วทำ ไม่หยาบคาย ด้อยค่านโยบายพรรคอื่น
พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จัดปราศรัยใหญ่ที่ลานโชว์ ดีซี เขตห้วยขวาง ภายใต้คำขวัญส่งท้าย "หัวใจนี้ เพื่อรับใช้ประชาชน"
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขึ้นนำผู้สมัคร ส.ส. กทม. ขึ้นปราศรัย เน้นสโลแกน "พูดแล้วทำ" และแสดงความขอบคุณ ประชาชนชาว กทม. ที่ให้กำลังใจพรรคอย่างล้นหลาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
"เราทำงานมา 4 ปี ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าเรายึดกรอบเดิม ๆ คือ จังหวัดไหนไม่เลือก ไม่ไปทำงานให้ แต่พรรคภูมิใจไทยคิดตรงข้าม จังหวัดไหนไม่เลือก ยิ่งต้องทำงานให้เขาเลือกให้ได้" นายอนุทิน กล่าว พร้อมขอให้ผู้สนับสนุนปรบมือเชียร์เป็นระยะ ๆ
"ขนแขนผมสแตนอัพไปหมดแล้ว ไม่เคยเห็นคน กทม. สนใจภูมิใจไทยมากเหมือนเย็นวันนี้" อนุทิน กล่าว
หัวหน้าพรรค ภท. ย้ำว่า ตลอดการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกพรรคทุกคน ไม่เคยใช้คำหยาบ ไม่วิจารณ์บุคคล และด้อยค่านโยบายพรรคอื่น เพราะ "ผมบอกลูกน้องของผม ไอ้ (คำหยาบ) มึงอย่าพูดคำหยาบสิโว้ย"
"เราจะไม่โกงเหมือนพวกแม่งกลุ่มโน้น พวกแม่งกลุ่มนี้เข้าไปจะทำงานอย่างเต็มที่ รับใช้พ่อแม่พี่น้อย กทม อย่างสุดความสามารถ" นายอนุทิน กล่าว ก่อนเสริมว่า ที่พูดมาเป็นการอุปมาอุปไมย ไม่ได้ระบุถึงพรรคใดพรรคหนึ่ง
ผู้สมัคร ส.ส. ภูมิใจไทย ใน กทม. มาแสดงตัว
ผู้สื่อข่าวถามนายอนุทินว่า ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งทำไมประชาชนต้องเลือกพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ระบุว่าในวันนี้ท่ามกลางความเป็นไปของทุกพรรคการเมือง ตนมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยได้แสดงให้เห็นว่าเหมาะสมกับการเป็นรัฐบาลมากที่สุดตลอด
ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย ในภาพรวมของการทำงานก็ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี ทำตามกฎกติกา ความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลเป็รไปอย่างดีมาก ไม่มีขัดแย้งกับใคร จะขัดแย้งเฉพาะกับผู้ไม่หวังดีกับบ้านเมือง และคนที่ทุจริตไม่มีความปราถนาดีกับประชาชนเป็นหลัก
"รัฐบาลใน 4 ปีนั้น อยู่รอดก็เพราะพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ขัดแย้ง ไม่เอาเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ก้าวข้ามการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งที่เหลือเราสามารถทำงานได้หมด" เขากล่าว
สำหรับการที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่าจะมาร่วมฟังการปราศรัยของพรรคภูมิใจไทย จะส่งผลอะไรกับพรรคหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะยิ่งทำให้พรรคภูมิใจไทยมีคะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้น และมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีคะแนนเสียงมากกว่าการเลือกตั้งปี 2562 อย่างแน่นอน
ชี้แจงทำไมต้อง #Saveประชาธิปัตย์ เพื่อรักษาประชาธิปไตย
พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดปราศรัยใหญ่ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่พรรคเคยใช้ปราศรัยปิดในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ภายใต้คำขวัญส่งท้าย “Save ประชาธิปัตย์ เพื่อ Save ประชาธิปไตยไม่โกง”
เมื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ปราศรัยถึงเหตุผลที่ต้อง #saveประชาธิปัตย์ อาทิ ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ก็จะไม่มีสถาบันทางการเมือง ที่อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อไปในประเทศไทย ไปจนถึง ความที่ประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองอายุมากที่สุดในไทย และเอเชียอาคเนย์
"นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์อาจจะไม่หวือหวา แต่ตกผลึก มีความรับผิดชอบ และทำได้จริง ที่สำคัญไม่พาประเทศไปสุ่มเสี่ยง แต่สามารถพาประเทศรอดได้จริง" จุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถตั้งรัฐบาลได้ ประชาธิปัตย์พาประเทศรอดแน่นอน "ล้านเปอร์เซ็นต์... เพราะประวัติศาสตร์ได้บอกเรา ทุกครั้งที่ประเทศมีวิกฤต ประชาธิปัตย์จะเข้ามากู้วิกฤตทุกครั้ง"
"มาดามเดียร์" ปราศรัยต่อจากนายจุรินทร์
รายละเอียด-คำขวัญ พรรคอื่น ๆ
พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) จัดปราศรัยใหญ่ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถ.วิภาวดี
ภายใต้คำขวัญส่งท้าย “มาร่วมกันสร้างประเทศแห่งโอกาส สู้ทุนผูกขาด เศรษฐกิจต้องเรา”
พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) จัดปราศรัยใหญ่ที่ลานพารากอน พาร์ก ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ภายใต้คำขวัญส่งท้าย “ไม่เอาลุง ไม่เอาขัดแย้ง”