คงจะเป็นเพราะ ‘Thaksin’s doctrine’ เรื่องการชนะเลือกตั้งอย่าง ‘แลนด์สไล้ด์’ ของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้านโดยปราศจากมลทิน เป็นมิ่งขวัญให้รัฐบาล ‘อุ๊งอิ๊ง’ นำความกินดีอยู่ดีกลับมาสู่ประชาชน เกิดความรุ่งเรืองแก่ประเทศ
การหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่เชื่อว่าจะมาในกลางปีหน้าเป็นอย่างช้า จึงมี ‘ขวัญใจ’ ของพรรคเพื่อไทย ออกมาชักชวน ‘คนเสื้อแดง’ กลับบ้านซึ่งมีชื่อเดิมว่า ‘ไทยรักไทย’ แพทองธาร ชินวัตร รับบทนั้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วในฐานะ ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’
‘เดียร์’ ขัตติยา สวัสดิผล ต่อยอดในอาทิตย์นี้ด้วยคำมั่น “ทวงคืนความยุติธรรม” ให้แก่คนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในการสลายชุมนุมเมื่อเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ ครั้งนั้น ๘๔ คน บาดเจ็บอีกกว่า ๒ พันคน ส่วนจะทวงคืนอย่างไรยังไม่มีรายละเอียด
มีเสียงกระเส็นมาจากกระสายปฏิบัติการของพรรคเพื่อไทย ว่ารายละเอียดไว้เปิดเผยเมื่อได้แลนด์สไล้ด์แล้ว เลยทำให้กลุ่มนักวิชาการที่ถูก ‘นางแบก’ ตีตราว่าเป็น ‘เฟช ๒’ ทวงถามต่อพรรคเพื่อไทย Puangthong Pawakapan @PuangthongPa ทวี้ตว่า
“กระบวนการยุติธรรมในประเทศในขณะนี้มาถึงทางตันแล้ว...จะทวงความยุติธรรมให้คนตายปี ๕๓ พรรคเพื่อไทยต้องยืนยันว่าจะลงนามรับรองเขตอำนาจของ ICC เพราะ...คำสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่ไม่บอกว่าแล้วจะทำอะไร ไม่มีความหมาย”
ก่อนหน้านี้ในโอกาสรำลึก ๑๒ ปีการปราบปรามประชาชนเมื่อปี ๕๓ อจ.พวงทองเขียนบทความ “แด่ผู้วายชนม์ ’๕๓” ตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘เวย์’ ว่ากระบวนการยุติธรรม ‘ปิดตาย’ สำหรับการดำเนินคดีต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ
มีแต่ “มุ่งเอาผิดกับผู้ชุมนุมฝ่ายเดียวเท่านั้น ทั้งที่ฝ่ายที่สูญเสียมากที่สุดคือฝ่ายผู้ชุมนุม...ทั้งๆ ที่มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่ารัฐบาลและ ศอฉ. ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ แต่กระบวนการยุติธรรมต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ
...พอเกิดรัฐประหารโดย คสช. ในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กระบวนการยุติธรรมก็พลิกกลับอย่างรวดเร็ว เพียง ๓ เดือนหลังรัฐประหาร ศาลอาญาได้กลับคำพิพากษายกฟ้องนายอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกฯ) และนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ)”...
ด้วยเหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวของทั้งสองคน เป็นการใช้อำนาจ ตำแหน่ง หน้าที่ราชการ” ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. “คำพิพากษาดังกล่าวได้ลดระดับความรุนแรงของคดีอาญาให้เป็นเพียง ‘ข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ’ เท่านั้น
ซึ่งในที่สุด ปปช.
ก็มีมติไม่ยื่นฟ้องต่อทั้งสองคน...ญาติของผู้เสียชีวิตและแกนนำ นปช.
ยังพยายามเดินหน้าสู้ต่อ พวกเขายื่นอุทธรณ์ แต่ความพยายามของพวกเขาก็ไร้ผล
ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
สิ่งนี้หมายความว่าโอกาสที่จะนำคดีความปี ๕๓ กลับคืนสู่กระบวนการยุติธรรมในไทย ได้มาถึงทางตันแล้ว” แนวคิดที่จะพึ่งพาความยุติธรรมจากศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงเกิดเป็นรูปร่างขึ้น “ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งอยู่ในช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
มีความพยายามแสวงหาความยุติธรรมผ่านช่องทาง ICC” = International Criminal Court กลุ่มนักวิชาการ ประธาน นปช. และบิดา-มารดาของผู้เสียชีวิตในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม ได้เข้าพบและปรึกษากับ นางฟาตู เบนซูดา อัยการของศาลอาญาฯ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ นางเบนซูดาได้เดินทางมาไทยเพื่อชี้แจงขั้นตอนว่า ก่อนศาลฯ จะลงมือสอบสวนได้ ประเทศไทยต้องให้สัตยาบันต่อศาลฯ และธรรมนูญกรุงโรม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่ทำอะไรเลยแม้จะมีเสียงเรียกร้อง”
ในการสัมนาวิชาการเมื่อปี ๒๕๕๕ “ตัวแทนจาก กต.ให้เหตุผลหลักคือธรรมนูญกรุงโรมไม่ยกเว้นโทษต่อประมุขของรัฐไม่ว่ากรณีใด ส่วนรธน.ไทยระบุว่าผู้ใดจะฟ้องร้องกษัตริย์ไม่ได้” ทำให้รัฐบาลขณะนั้นไม่ยอมลงนามสัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศ
แม้นว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกฎหมายมหาชนให้ความเห็นว่า “ใน ๑๒๑ ประเทศที่ให้สัตยาบันไป มีหลายประเทศที่ประมุขของรัฐเป็นกษัตริย์” สเปน สวีเด็น อังกฤษ เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่ของไทยกลับมีปัญหา ทั้งที่รัฐธรรมนูญไทยไม่ใช่อุปสรรค
มาตรา ๘ ซึ่งระบุว่า “ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” นั้นอยู่ในเงื่อนไขว่า “พระมหากษัตริย์จะไม่กระทำการใดๆ ตามลำพัง” แต่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ กระทำการและรับผิดชอบแทนพระองค์
“จึงไม่ต้องกังวลเลยว่าพระมหากษัตริย์จะถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะคนที่รับผิดชอบคือผุ้ลงนามรับสนองฯ” ปิยบุตรชี้ จะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ผู้รับสนองฯ ต้องไม่อยากไปศาลอาญาระหว่างประเทศแทนพระมหากษัตริย์ แน่ๆ
(https://waymagazine.org/puangthong-pawakapan-icc/ และhttps://prachatai.com/journal/2012/05/40506…)