วันจันทร์, พฤษภาคม 30, 2565

การปกปิดความจริงไม่ให้เห็นจากขบวนเสด็จ ด้วยกำแพงตำรวจ ยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์เหินห่างประชาชน

 

..... 


Lertsak Kumkongsak
23h

การปกปิดความจริงในขบวนเสด็จยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์เหินห่างประชาชน
.
ความเร็วของรถในขบวนเสด็จที่วิ่งผ่านหน้าตึก UN ถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นบริเวณที่พี่น้องประชาชนในนาม 'ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน' ทำการชุมนุมยืดเยื้อพักค้างแรมอยู่บนเกาะกลางถนนฝั่ง UN นั้น น่าจะใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที แล้วทำไมถึงต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณจากภาษีประชาชนให้สิ้นเปลืองเกินสมควรหรือไม่ได้สัดส่วนด้วยการเอาตำรวจมายืนเรียงแถวยาวตามแนวที่พี่น้องชุมนุมอยู่ เพื่อปิดกั้นไม่ให้ขบวนเสด็จเห็นภาพกิจกรรมในการชุมนุม (ดูด้วยสายตาแล้วก็น่าจะเกิน 300 คน หรือประมาณ 5 กองร้อยตามที่ตำรวจแจ้ง)
.
มีความพยายามเจรจามาตลอดให้ย้ายสถานที่ชุมนุมไปอยู่ที่ถนนรองข้าง ๆ UN แล้วค่อยกลับมาใหม่เมื่อขบวนเสด็จเสร็จสิ้นแล้วหลัง 1 ทุ่มของวันที่ 29 พฤษภา (เสด็จไปมอบปริญญาที่ ม.ธรรมศาสตร์ 3 วัน 27-29 พฤษภา วันละเที่ยว ขาไปช่วงเวลาประมาณ 16.00 ขากลับช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม) เมื่อเห็นการยืนยันอย่างชัดเจนของขบวนชุมนุมว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหนก็เอาผลประโยชน์มาแลก ขบวนชุมนุมอยากได้อะไรจะจัดหามาให้หมด ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำห้องท่า น้ำดื่มน้ำใช้ ไฟฟ้า จะชุมนุมอยู่เป็นเดือนก็ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานในการชุมนุมที่ตำรวจต้องดำเนินการหรืออำนวยความสะดวกทันทีหากมีการชุมนุมใด ๆ ของประชาชน ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ที่จะเอามาแลกหรือนำมาใช้ในการเจรจาต่อรองให้ย้ายหรือให้ยุติการชุมนุม แต่เมื่อขบวนชุมนุมยังยืนยันตามเดิมว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหนก็พยายามกดดันถึงขั้นที่อยากจะสลายการชุมนุม
.
15-30 วินาที น่าจะเป็นช่วงเวลาที่รถในขบวนเสด็จใช้ในการวิ่งผ่านที่ชุมนุม แต่เกณฑ์ตำรวจมาไม่รู้กี่โรงพัก ทั้งเบี้ยเลี้ยง ข้าวกล่อง ค่าน้ำมันรถขนตำรวจมา วัสดุอุปกรณ์ ฯลฯ แทนที่ตำรวจจะใช้เวลาทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ให้แก่ประชาชนที่โรงพัก, ตรวจตราตามสถานที่และบนท้องถนน, ฯลฯ แต่กลับเสียเวลาอันมีค่าเหล่านั้นไป (ตำรวจต้องมาเตรียมการรับขบวนเสด็จตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป ต้องขนตำรวจมาตั้งแต่บ่ายสอง ยืนเรียงแถวตลอดแนวชุมนุมเพื่อปิดกั้นภาพการชุมนุมไม่ให้ขบวนเสด็จเห็นตั้งแต่บ่ายสาม ขนตำรวจกลับหลัง 1 ทุ่ม)
.
ถ้าการออกบวชจนนำไปสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นไปตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าพระพุทธเจ้าได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย คนทุกข์ คนยาก จึงคิดได้ว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ จึงเพียรหาหนทางดับทุกข์ให้แก่ตัวเองและมนุษย์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในสังคม และถ้าสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทยเราถือคติธรรมราชาตามที่ว่า ๆ กันหรือท่องจำตามกันมา ดังนั้นแล้ว การที่กษัตริย์ได้เสด็จดำเนินไปตามแห่งหนตำบลใดก็ควรที่กษัตริย์จะได้เห็นความเป็นจริงของชีวิต มิควรปกปิดชีวิตของประชาชนใด ๆ เพื่อจะได้เห็นถึงความทุกข์ยากลำบากของประชาชน สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมแก่กษัตริย์ แต่เมื่อทำตรงกันข้ามก็จะยิ่งทำให้กษัตริย์เหินห่างประชาชนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ