วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 14, 2564

รองโฆษก สตร.นี่แหละตัวแสบ "สันดานจิ้งจอกย่อมหาเรื่องขย้ำจนได้ ถ้ายังหงอ"


กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สตร.นี่แหละตัวแสบนัก แถลงข่าวบิดเบือนเป็นตุตะหลังสลายการชุมนุม #13กุมภา ว่า “ยังมีผู้ชุมนุมบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มฮาร์ดคอร์และการ์ด มีการขว้างปาขวดน้ำ ประทัดต่างๆ” จนมีตำรวจบาดเจ็บ ๒๐ กว่าราย

ขวดน้ำกับประทัดนี่นะทำให้บาดเจ็บ ขวดก็พล้าสติก ประทัดไม่ได้ยักษ์อย่างมุสา แต่ว่าหน่วยแพทย์ของผู้ชุมนุมคนหนึ่งโดนรุมตีด้วยไม้กระบองเสียสลบ ซ้ำกฤษณะนั่นละที่ลงมือด้วยตัวเอง กระชากลากถูผู้ชุมนุมหญิงคนหนึ่ง มีคลิปจะจะ

“ตำรวจบ้าเลือดมาก กระทืบทุกคนที่จับได้ มีแพทย์อาสาโดนรุมกระทืบโดยที่ห้ามไม่ให้สื่อถ่าย ผมเองโดนหักแขนแล้วลากออกมา ได้แผลเลือดออกมาหนึ่งแผล ตำรวจพูดแต่ว่านายสั่งมาๆ” Nattaphon Phanphongsanon นักข่าวคนหนึ่งโพสต์สด

แล้วอาสาของทีมแพทย์ที่บาดเจ็บคนนั้นก็ถูกนำตัวไป ตชด.ภาค ๑ พร้อมกับผู้ชุมนุม และคนที่บังเอิญไปรอรถเมล์อยู่แถวนั้น กับชายไร้บ้านคนหนึ่ง รวม ๑๑ ราย หลายคนโดนซ้อมจนหน้าแตกฟกช้ำ “ผมไหว้ร้องขอชีวิตหลายครั้งแต่ ตร.ไม่ยั้ง

รุมกระทืบเหมือนผมเป็นหมาตัวนึง นอนไม่หลับ มันหลอนไปหมด” ลุงไร้บ้านคนนั้นเล่าให้ ส.ส.เบญจา แสงจันทร์ ฟังน้ำตาคลอ ด้านชมรมแพทย์อาสาออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของตำรวจ “ปกติเรารักษาทั้งตำรวจและมวลชน”

ทุกคนใส่เสื้อกั๊กเขียว มีสัญลักษณ์ชัดเจนว่าเป็นทีมแพทย์” อาสาคนหนึ่งบอกกับ บก.ข่าวสดอิงลิช “ไม่ว่าจะเป็น คฝ. (ตชด.) หรือใครก็แล้วแต่เรารักษาหมด เค้ารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นทีมรักษา ทำไมเค้าถึงทำแบบนี้กับเรา” ตอบได้ว่าเพราะเค้ารู้นายให้ท้าย


ยิ่งมีภาพฟ้องจากว้อยซ์ทีวี มีนอกเครื่องแบบฝูงใหญ่กำลังเตรียมตัวก่อกวน ยิ่งชัดว่าการใช้ความรุนแรงของตำรวจครั้งนี้ เพราะไม่แยแสกับมาตรฐานยุติธรรมสากล ใช้อำนาจอย่างเผด็จการเช่นที่เคยมา ด้านหนึ่งโป้ปด “ใช้ความอดทนอดกลั้นแล้ว”

อีกด้านใช้พวกหัวไม้แทรกตัวเข้าไปก่อกวนทำร้ายผู้ชุมนุม เฉกเช่นวิธีการฟาสซิสต์ในอดีต จึงได้มีการ์ดราษฎรคนหนึ่งถูกยิงเข้าที่แขนและหน้าท้อง อาการหนัก โดยน้ำมือพวกอาชีวะปกป้องสถาบัน ซึ่งใครจะรู้ไม่ใช่หนึ่งในนอกเครื่องแบบ

สภาพการณ์มันคล้องจองกับคำปรารภที่ การดี ศรีสุเมธ โพสต์ไว้ “คนที่ทำร้ายสามารถลอยนวลได้...คนที่ตามข่าวอยู่ทางบ้านรู้สึกท้อแท้...ต้องมาทนดูตำรวจตอแหล รัฐบาลตอแหล สลิ่มตอแหล” โดยเฉพาะโกหกคำโตมากต้อง แรมโบ้มีเจ้าของ

ยิ่งน่าหวาดเสียวเมื่อมีนักวิจารณ์เตือนภัย “ชนชั้นนำไทยเก่งเรื่องกระชับอำนาจให้ตัวเอง และที่เก่งที่สุด มีประสบการณ์เชี่ยวชาญที่สุด คือการใส่ร้ายสร้างภาพให้ประชาชนหัวแข็งดูน่าฆ่าทิ้ง” ภัควดี วีระภาสพงษ์ เปรย “ผู้ประท้วงบางกลุ่มห้าวเป้ง” อย่างว่า

“อยากตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ยอมยึดสันติวิธี...ตำรวจเขาไม่เน้นจับคนกลุ่มนี้หรอก อย่างมากก็จับสักคนสองคนเพื่อยั่วให้เพื่อนในกลุ่มโกรธ ชุมนุมคราวหน้าจะได้บวกเต็มที่กว่าเดิม” หลายคนให้ความเห็นแบบนี้ ตั้งข้อกังขา ชักไม่อยาก “ให้มันจบที่รุ่นเรา”

ก็ถ้าอำนาจปกครองของพวกสืบทอดเผด็จการนี่ “ไม่โง่” ขุดหลุมพลางให้ไปตายอะไรเทือกนั้น แล้วจะเลี่ยงหลุมไปได้สักกี่ครั้ง จนกว่ามันเข้ามากระชากตัวถึงในบ้านโดยไม่ต้องขุดหลุมล่อละหรือ สันดานจิ้งจอกย่อมหาเรื่องขย้ำจนได้ ถ้ายังหงอ

มันเป็นธรรมดาของการปราบปราม ทำให้เจ็บทำให้กลัวจะได้ไม่ฮึดสู้ แล้วก็ปกครองง่าย ทนได้ อยู่เป็น ก็อยู่ไป แต่มันมีที่ทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องฮึดสู้ แน่นอนมือเปล่ากับอาวุธ คนน้อยไม่มีทางชนะ คนเยอะบ่อยครั้งยังตายเป็นเบือ

ความมุ่งมั่นเท่านั้นที่สู้ได้ ชวนกันร่วมแรงร่วมใจ ผลักดันกันไปตามอัตภาพ ไม่สู้แล้วยังชวนกันไม่ให้สู้ ก็ #อยู่ไปอย่างไทย เช่นที่พม่าว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีเฉพาะที่ต่อสู้ยาวนานอย่างรัสเซีย ฝรั่งเศส หรือแม้แต่จีน แต่ยังมีเกาหลีใต้ ตัวอย่างควรดู


ว่าไป #ม็อบ13กุมภา ไม่ได้ ‘discouraged’ หรือชวนให้ถอยเลยแต่น้อย การไปห่มผ้าแดงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จัดสวนหน้าอนุสาวรีย์เสียใหม่เป็นรูป ไม่เอา 112’ จะเรียกว่า ได้คืบ หรือ กลับมาแล้ว ก็ได้ เหตุการณ์หลังศาลหลักเมืองเป็นเรื่อง น้ำจิ้ม

เรื่องของเรื่องอยู่ที่ว่าจะสู้หรือไม่สู้เท่านั้น สู้อหิงสาอย่าง คานธี จี ไม่มีแล้วสมัย ‘British Raj’ มีแต่ ‘I hear Too’ ทนได้ทนไป ไหนๆ ก็ไหนๆ ทนกันมานานมากกว่าใครๆ นานกว่าพม่ายังทนได้แล้วเลย

(https://prachatai.com/journal/2021/02/91670, https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/2908594876057560 และ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1583993445144903&id=100006027885606)