จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
7h ·
บทเรียนจากผู้ป่วยที่รอดตาย
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เพื่อนชาวต่างชาติของผมคนหนึ่ง เพิ่งผ่านความเป็นความตายจากโควิด-19 มาทั้งครอบครัวหมาด ๆ ผมจึงขอให้เขาเล่าประสบการณ์ในครั้งนี้ให้ผมฟัง และผมก็ได้นำมาเรียบเรียงเป็นข้อสรุปมาฝากท่าน ดังนี้ครับ:
"เมื่อปลายเดือนธันวาคม 63 ผมและครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย แม่ ภรรยา ลูกสาว และคนทำงานบ้าน ได้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสกันทั้งหมดทุกคน เราจึงต้องกักตัวเองอยู่ในบ้านตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. 63 เป็นต้นมา เมื่อตรวจร่างกายอีกครั้งหลังจากครบ 14 วันแล้วก็ปรากฏว่า ผลปัจจุบันกลับเป็น negative คือไม่มีเชื้อโรคนี้ในตัวอีกแล้ว เราทั้งครอบครัวจึงรู้สึกโล่งใจและขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ขอบันทึกไว้ต่อไปนี้ จึงเป็นประสบการณ์ของเราในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ ซึ่งหวังว่าเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่น ๆ บ้างไม่มากก็น้อย
ในระยะ 5 วันแรก ถือว่าเป็นช่วงที่ทรมานและน่ากลัวที่สุด เราทุกคนต่างจับไข้ เจ็บปวดไปทั้งตัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ไอรุนแรง และท้องเสีย จิตใจย่ำแย่มาก
เราต่อสู้กับโรคด้วยการกินยาพาราเซตามอลในอัตราปกติในเวลาที่เป็นไข้ ดื่มชาเขียวร้อน ใส่ขิงและน้ำมะนาว กินลูกกีวี่ กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ผักสด สลัดผัก (ให้มีหอมและกระเทียม) งดกินอาหารมัน ๆ กินวิตามิน D3 แบบ 1,000 มิลลิกรัม และวิตามิน C นอนหลับพักผ่อนให้มากขึ้น ออกกำลังหรือเต้นรำให้ร่างกายฟิตและตื่นตัว หากใครมีเครื่องอบสมุนไพรก็จัดการอบตัวสักวันละ 3 ครั้ง กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ อีกวันละ 4 ครั้ง
ข้อสำคัญที่สุดคือ พยายามอย่าเครียด อย่าจิตตก อย่ากังวลจนเกินเหตุ จิตใจที่ตกต่ำจะช่วยให้เชื้อแพร่กระจายได้เร็วขึ้น จนผ่านลำคอลงไปถึงปอดได้ ถ้าถึงขั้นนั้นแล้วจะลำบากมากในการฟื้นตัว ขอให้ท่านนึกเสมอว่าเรายังสู้กับโรคนี้ได้ วิธีต่อสู้ก็คือ หาทางลดไข้ในตัวเองด้วยวิถีทางต่าง ๆ ทำทุกอย่างที่ท่านจะทำได้ในการเพิ่มความแข็งแรงและภูมิคุ้มกันในตัวเอง ด้วยการกินดี ดื่มดี พักผ่อนนอนหลับ และด้วยความไม่เครียด
กรุณาจำไว้ว่า เราไม่ใช่ทำได้แค่รอตั้งรับโรคนี้แบบเสี่ยงดวง เราทำเชิงรุกได้ เพียงขอให้เราเสริมและเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายไว้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงนี้ ด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่ว่ามา และขอให้มีวิตามิน C และ D โดยเฉพาะ D3 สะสมไว้ในตัวให้มากเสมอ
จากอาการหนักในช่วง 5 วันแรก เราค่อย ๆ ดีขึ้นในวันที่ 6 และ 7 วันที่ 8 คือจุดที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี ไข้หาย ความเจ็บปวดในตัวหาย แต่ยังท้องเสียอยู่ เราจึงกินกล้วยแทนที่จะกินยา จนท้องไส้กลับมาเป็นปกติ
แน่นอนว่า ร่างกายแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน วิธีการที่ได้ผลในตัวคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อยในอีกคนหนึ่งก็ได้ ขอให้ท่านใช้วิธีการเหล่านี้อย่างประยุกต์ อย่าใช้ทั้งดุ้นทั้งด้าม ด้วยความละเอียดอ่อน ความช่างสังเกต และมีสติกำกับอยู่ด้วยเสมอ..."
ผมขอขอบคุณเพื่อนคนนี้ ที่อุตส่าห์แบ่งปันประสบการณ์มาให้ความรู้กันอย่างมีน้ำใจ
จักรภพ เพ็ญแข
12 มกราคม พ.ศ. 2564