วันพุธ, มกราคม 27, 2564

ฟังเยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนาย "ลุงบัณฑิต" จำเลยคดี 112 ที่ศาลอาญาเพิ่งยกฟ้อง ขอให้ผู้พิพากษาคดี 112 มี "กระดูกสันหลัง"



iLaw
10h ·

เยาวลักษ์ อนุพันธุ์: ทิศทางคดีมาตรา 112 หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของผู้พิพากษาแต่ละท่าน
เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ หัวหน้า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และทนายความของ "ลุงบัณฑิต" จำเลยคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ศาลอาญาเพิ่งยกฟ้องในวันนี้ (26 มกราคม 2564) เปิดเผยความรู้สึกเกี่ยวกับคำพิพากษาและแนวทางการต่อสู้คดีที่นำมาสู่ชัยชนะ รวมถึงแนวโน้มของคดีมาตรา 112 หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีนี้ 

๐ ก่อนมาฟังคำพิพากษาคดีนี้รู้สึกกดดันหรือไม่?

"ภายใต้สถานการณ์แบบนี้มันก็กดดันนะ อย่างตอนแรกที่ศาลนัดฟังคำพิพากษา 10 โมงแต่ศาลขึ้นบัลลังก์ช้าพี่ก็แอบกังวลใจอยู่ว่าจะมีอะไรหรือเปล่า แล้วยิ่งเห็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถือกุญแจมือเข้ามาก็แอบรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการปฏิบัติตามระเบียบปกติที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องขึ้นมาอยู่ในห้องพิจารณาคดีระหว่างศาลอ่านคำพิพากษาเพื่อรอรับตัวจำเลยหากศาลพิพากษาจำคุกแต่คิดว่ามันก็มีผลทางจิตวิทยาอยู่ดี"
"พี่เลยบอกลุงบัณฑิตว่าไม่ต้องกังวล หากสุดท้ายศาลจะพิพากษาจำคุกยังไงทางทนายก็เตรียมที่จะยื่นประกันตัวให้"

๐แล้วตัวคุณลุงเป็นอย่างไรบ้าง?

"พี่ทำคดีลุงมาหลายปี วันนี้เป็นวันที่คุณลุงอาการไม่ค่อยดี ปกติลุงบัณฑิตเป็นคนที่แข็งแรงนะถ้าเปรียบเทียบกับคนในวัย 80 หรือวัยใกล้ๆกับแก ปกติลุงจะมีปัญหาเรื่องการปัสสวะที่แกตัดกระเพาะปัสสาวะออกไปข้างหนึ่งเพราะเป็นมะเร็งแต่นอกนั้นแกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มาวันนี้แกเป็นความดัน พยาบาลวัดได้ว่าวันนี้ความดันของลุงพุ่งขึ้นไปถึง 190 เข้าใจว่าแกน่าจะเครียด" 

๐ คิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้สามารถทำให้ศาลยกฟ้องได้? 

"คดีนี้ พี่กับทีมทนายได้พยานหลักฐานจากอัยการศาลทหารกรุงเทพ เมื่อเอามาศึกษาโดยละเอียดก็พบว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีหลายจุดที่อ่อนมาก"
"ตอนที่คดีนี้พิจารณาในศาลทหาร อัยการทหารก็พาตำรวจฝ่ายสืบสวนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาเบิกความ พี่และทีมทนายก็เลยขอให้ศาลออกหมายให้อัยการทหารส่งคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานที่เป็นตำรวจคนนั้นเข้าสู่สำนวน ก็เลยพบว่า พ.ต.อ.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเคยให้การในชั้นสอบสวนไว้ถึงสามครั้ง ครั้งแรกให้การว่าสิ่งที่จำเลยทำไม่น่าเป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์และไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใด ต่อมาในครั้งที่สองก็ให้การว่าคำพูดของจำเลยมีลักษณะหมิ่นเหม่แต่ก็ยังไม่ได้ให้การว่าเป็นความผิด เพิ่งมาครั้งที่สามที่ให้การว่าจำเลยน่าจะกระทำความผิด ซึ่งคำให้การของ พ.ต.อ.สมยศเหมือนกับตำรวจอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่เกิดเหตุและเคยให้การต่อพนักงานสอบสวนสามครั้ง"
"ระหว่างการสืบพยานปากพ.ต.อ.สมยศ ตัวพยานพูดถึงคณะกรรมการของตำรวจที่ทำหน้าที่กลั่นกรองคดีมาตรา 112 พี่กับคณะทนายเลยขอให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารการประชุมของคณะกรรมการที่ว่ามาถึงได้ทราบว่าจริงๆแล้วตำรวจเรียกพยานมาสอบปากคำคดีนี้หลายคนเลย มีคนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์จากราชบัณฑิตยสถานให้การกับตำรวจว่าสิ่งที่จำเลยพูดไม่น่าจะหมายถึงพระมหากษัตริย์และไม่น่าจะเป็นความผิดแต่คำให้การพยานปากนั้นก็ไม่อยู่ในสำนวนของอัยการ ส่วนพยานปากที่เป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์โดยตรงแต่เป็นคนที่ทำงานกับหนังสือราชการก็ให้การกับทางอัยการในชั้นแรกว่าสิ่งที่คุณลุงพูดน่าจะเป็นความผิด แต่พอทนายจำเลยถามค้านก็ตอบว่าคำว่าฝุ่นเป็นคำทั่วๆไปที่ใช้เรียกของแข็งที่ลอยอยู่ในอากาศและคำว่าคนบางคนก็ไม่สามารถระบุได้ว่าหมายถึงใคร ก็คือยอมรับว่าตัวประโยคที่คุณลุงพูดมันจะผิดหรือไม่ผิดมันขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน"
"อันหนึ่งที่น่าสนใจคือคำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่พยานคนนี้หยิบมาโยงกับคำว่าฝุ่นที่อยู่ใต้เท้าของใครบางคน มันเป็นคำเฉพาะมาก คนทั่วไปจะเข้าใจว่าคำๆนี้หมายถึงคำที่ประชาชนที่เรียกตัวเองเวลาพูดกับพระมหากษัตริย์แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ คำว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทหมายถึงพระมหากษัตริย์ซึ่งพี่เองก็เพิ่งมารู้เพราะทำคดีนี้"
"พี่คิดว่าความพยายามในการหาพยานหลักฐานของเรามีความสำคัญมาก ที่ทำให้สุดท้ายแล้วศาลยกฟ้อง"

๐ คดีนี้คำพิพากษาออกมาในช่วงหลังพล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกฉบับและนโยบายเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 เปลี่ยนไป ก่อนฟังคำพิพากษามีความกังวลกับตรงนี้บ้างหรือไม่?

"ตอนที่คดีนี้สืบพยานที่ศาลอาญา สถานการณ์คดีมาตรา 112 ก็ยังไม่ได้ตึงเครียดเหมือนตอนนี้พี่เองก็มั่นใจ คุณลุงก็ดูมั่นใจ แต่พอศาลมีคำพิพากษาคดีของคุณอัญชัญ (จำเลยคดีเครือข่ายบรรพตที่ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 29 ปี 174 เดือน เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2563) พี่ก็รู้สึกกังวลกับคดีนี้ขึ้นมาทันที คุณลุงเองที่ปกติค่อนข้างมั่นใจว่าศาลน่าจะยกฟ้องแน่ก็โทรมาหาพี่ แกกังวลมากถามพี่ว่า ผมจะรอดไหม ซึ่งความเครียดตรงนั้นก็อาจจะทำให้แกทรุดจนความดันขึ้น แต่พอศาลมีคำพิพากษาออกมาเราก็รู้สึกโล่งใจ และเคารพว่าศาลท่านตัดสินไปตามพยานหลักฐานอย่างแท้จริง พี่เองก็ยังไม่มั่นใจว่าถ้าคดีนี้ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลทหารผลจะออกมาเหมือนกันแบบนี้หรือเปล่า"

๐ มองว่าคำพิพากษาคดีนี้จะส่งผลบวกต่อคดี 112 ที่เกิดขึ้นช่วงนี้หรือไม่?
 
"ถ้าถามว่าคดีนี้จะเกี่ยวกับคดีอื่นหรือเปล่า พี่คิดว่าคดี 112 ขึ้นอยู่กับตัวผู้พิพากษานะ ถ้าผู้พิพากษามีความกล้าหาญ ก็จะตัดสินคดีไปตามพยานหลักฐานอย่างวันนี้ที่ศาลพิจารณาพยานหลักฐานอย่างถี่ถ้วนว่ายังมีความเคลือบแคลงน่าสงสัยเลยยกฟ้องคดี ซึ่งเท่าที่พี่ติดตามก็มีบางคดีที่การกระทำน่าจะไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดแต่กลับมีการตั้งข้อกล่าวหา เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีบางคดีเช่นคดีจ้า (คดีของพัฒน์นรี แม่ของสิรวิชญ์หรือ "จ่านิว" นักกิจกรรมที่ถูกกล่าวหาจากการตอบแชทจำเลยคดีมาตรา 112 อีกคนหนึ่งที่เขียนข้อความที่เป็นความผิดมาว่า "จ้า") ที่จริงๆไม่น่าฟ้องแต่แรกแต่อัยการทหารก็ฟ้องคดีเข้ามา หลังจากนี้ก็คงต้องหวังให้ผู้พิพากษาที่จะเข้ามาเป็นผู้พิจารณาคดี 112 ที่เกิดขึ้นใหม่มีความกล้าหาญและตัดสินคดีไปตามข้อเท็จจริงและหลักฐาน"
.....