ยังแก้ไม่ตกน่ะ รัฐบาลไอทู้บไม่รู้เอาไงดี คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ออก พวกชุมนุมยกระดับกันทุกวัน โถ ลุงตามไม่ทัน ก็เลยซื้อเวลาไปก่อน เซม เซม ทั้งที่ระยะยาวออกไปหน่อย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยังคลำหาทางไม่เจอ มันสุมรุมทั้งหัวหูและหาง โฮ้ย จะบ้าตาย
ม็อบวันที่ ๘ มาเนิบๆ แต่แรงในเบื้องลึก “เขียนจดหมายถึงกษัตริย์” นี่ไม่สามัญแน่ๆ เขาบอกเพื่อนพ้องน้องพี่เขียนมาแล้วจะเอาไปยื่น ตรงนี้สิจะสกัดยังไง ถึงไปยื่นไม่ยอมรับ มันก็ยังจะออกมาแพร่หลายว่าเขียนอะไรกันมั่ง จะใช้ พรบ.คอมพิวเตอร์ พรบ.ชุมนุม ก็ปิดไม่ได้
ก็เลยมาตรการ ‘ไม่รับ’ คือให้นครบาลฯ ออกมาขู่ “ห้ามชุมนุมในเขตพระราชฐานรัศมี ๑๕๐ เมตรโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งหมด หากถูกดำเนินคดีแล้วก็จะมีประวัติติดตัวด้วย” กลายเป็นหมันไปแล้ว
ยุทธวิธีต่อไป ให้ ‘ม็อบต้านม็อบ’ คำราม ศปปส. หรือ ‘กปปส.๖๓’ ประกาศจะไปหน้าศรแดงวันที่ ๘ เหมือนกัน เวลาเดียวกันด้วยนะ โอเค ก่อนหน้าเยาวชน ๒ ชั่วโมง (นัดบ่ายสองขณะที่ของเยาวชนบ่ายสี่) ทำให้มีโอกาสปะทะได้
คำถามของฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ที่ว่า “มีเจตนาอะไรที่ยังอนุญาตให้คณะของสุเทพ-วรงค์ มาชุมนุมได้ในวันเวลาสถานที่เดียวกัน ต้องการสร้างความขัดแย้งเพื่อจะทำรัฐประหาร ใช่หรือไม่” Wiboon Shamsheun เป็นคนเขียนบนเฟชบุ๊ค
ถามอีกว่า เค้าอยากยึดอำนาจตัวเองหรือ ก็ไม่เชิง แต่มันไม่มีทางออกอื่น จนตรอกก็เอาไว้ก่อนแล้วไปแก้แหทีหลัง เหมือนอย่างที่ทำมาเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว แม้ในภาพของประชากร ถ้าขืนมียึดอำนาจอีกหน บ้านเมืองพังแน่ อดอยากปากแห้งกันระนาว
ขนาดเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นจะอดตาย แต่ว่ามันกำลังเดินไปสู่จุดนั้น มีสองตัวอย่างให้ดูตรงนี้ หนึ่ง หนี้สาธารณะยังพุ่งกระฉูดไม่หยุดยั้ง “ล่าสุด ๓๐ ก.ย. ๒๕๖๓...มีหนี้สาธารณะจำนวน ๗.๘๔ ล้านล้านบาท คิดเป็น ๔๙.๓๕% ของจีดีพี”
เหลืออีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นก็เข้าเกณฑ์ล่มจม ทว่า ‘เฮียตู่’ แกยังไม่สำเหนียก เพราะปัญหาเสถียรภาพตัวเองหนักกว่า ไหนจะเรื่องเด็กก้าวร้าว ไหนจะเรื่องเจ้ากดดัน ทั้งล่างทั้งบนอัดกันเข้ามา ซ้ำยังจะต้องสู้ๆ ห้ามถอยอีก เหมือนไม่มีอุโมงก์ให้ออก
ก็เลยต้องปล่อยเศรษฐกิจจมปลักต่อไป (ที่จริงไม่รู้จะแก้ยังไงอย่างที่บอกไว้) ปีหน้า ๖๔ มีแผนก่อหนี้สาธารณะใหม่ยังคาอยู่ “จำนวน ๑.๔๖ ล้านบาท เป็นรัฐบาลก่อหนี้ ๑.๓๔ ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เพื่อชดเชยขาดดุล ๖.๒๓ แสนล้านบาท
กู้ภายใต้ พ.ร.ก. โควิด-๑๙ จำนวน ๕.๕ แสนล้านบาท กู้บริหารสภาพคล่อง ๙.๙ หมื่นล้านบาท และกู้ลงทุนโครงการ ๗.๔๑ หมื่นล้านบาท ขณะที่เหลือเป็นการก่อหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๑๗ แสนล้านบาท และการก่อหนี้ของหน่วยงานอื่นอีก ๑,๘๐๘ ล้านบาท”
คัดเอามาให้ดูเพียงเพื่อจะชี้ว่าตัวเลขเยอะแยะเพียงไรในทางไม่โต ถึงได้ทำให้ในปี ๖๔ “หนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่้มเป็น ๙ ล้านล้านบาท” เป็นที่ ‘ลุ้น’ อย่างเหลือเกินว่า จะอยู่ในกรอบ “หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ที่ไม่เกิน ๖๐% ของจีดีพีหรือไม่”
เรื่องหนี้หนักหนาสากรรจ์ยิ่งแล้วไม่พอทำเนา เรื่องรายได้ไม่เข้า แกเช่นที่เป็นมาตลอด ๖-๗ ปี ทับถมเสียอีก “ผู้ส่งออกข้าวเซ็งอนาคตข้าวไทยหลุดท็อปทรีใน ๕ ปี” ขนาดว่านายกสมาคมส่งออกข้าว พี่ชายของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คนกันเองของรัฐบาลแล้วนะ
ปัญหาไม่ใช่ว่าปีหน้าจะส่งออกข้าวลดลง เพราะคะเนแล้วจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ หากแต่ “แนวโน้มข้าวหอมมะลิไทยจะลดลงมาอยู่ที่กว่า ๘๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมกว่า ๑,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ข้าวขาวจากกว่า ๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลงมาอยู่ ๔๙๕ ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน”
ทำให้ระยะยาวจะไม่สามารถตีตื้นขึ้นมาเป็นเสือส่งออกข้าวได้ดังเก่าก่อน มิหนำซ้ำจะไม่อาจไล่ทันเวียดนามที่แซงหน้าไทยไปฉิวๆ ในช่วงที่คณะทหารยึดอำนาจครองเมือง เวลานี้อินเดียเป็นหนึ่งการส่งออกข้าว ตามด้วยเวียดนามแล้วจึงถึงไทย
สภาพปัจจุบัน พันธุ์ข้าวไทยที่จะเอาไปแข่งในตลาดโลกมีน้อย ไม่พัฒนาเหมือนเวียดนาม จึงทำให้การแข่งขันเป็นรอง แถม “คุณภาพลดลงขณะที่คุณภาพของข้าวคู่แข่งดีขึ้น ปริมาณผลผลิตต่อไร่ยังน้อยต้นทุนการเพาะปลูกยังสูง”
จนเป็นที่กังวลเหลือเกินว่า “ในอนาคต ไทยอาจตกเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ ๕ ของโลก โดยแพ้ให้กับเมียนมาและจีน (ภาย) ใน ๓ ปี” ตรงนี้สิทำให้ตู่หงอย แม้นยึดอำนาจใหม่จะอ้างว่ามาฟื้นเศรษฐกิจอีกไม่ได้
(https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/455717?asPit3_U และ https://www.posttoday.com/finance-stock/news/636885)