วันเสาร์, เมษายน 11, 2563

ความสามารถอันเอกอุของรัฐ-ราชการไทย คือถอดกางเกงผายลม




ภาพจาก Sanook

ความสามารถอันเอกอุของรัฐ-ราชการไทย
คือถอดกางเกงผายลม
...
ภาษิตติดหูนักอ่านกำลังภายในประโยคนี้
แปลความว่าชอบทำอะไรให้ยุ่งยากอย่างไม่จำเป็น
จะผายลมทั้งทที ยังต้องถอดกางเกง
บ้าไหม?
แต่รัฐ-ราชการไทยชอบทำ
เพราะมันสอดคล้องกับวัฒนธรรมการ"สั่ง"
ยกตัวอย่างล่าสุดสองเรื่องก็คือการตั้งด่าน กับการสั่งห้ามขายสุรา
...
ถามว่าวัตถุประสงค์หลักของการตั้งด่านคืออะไร
จริงๆ ก็คือพยายามลดการสัญจร การรวมตัวกันของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด
ไม่ใช่การทำให้คนจำนวนมากที่ยัง"จำเป็น"จะต้องทำให้ประเทศนี้ขับเคลื่อนไปได้ ประสบความลำบากมากที่สุด
ใครที่ได้อ่านโพสต์ของคุณพยาบาล ที่เจอด่านตรวจซ้ำซ้อนหลายๆ วัน และถูกตำรวจที่ด่านถามว่า
"พยายาลเป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือเปล่า"
แล้วไม่โกรธตามไปด้วย
ช่วยไปโกนหัวบวชเถอะครับ
นี่ยังไม่นับความจำเป็นของอาชีพอื่นๆ ที่เขากลับบ้านตามเวลาเคอร์ฟิวไม่ได้จริงๆ อีกมาก
จริงๆ ถ้าไม่อยากให้ชาวบ้านชุมนุม หรือรวมตัวกัน
ดีที่สุดคือเจ้าหน้าที่ต้องออกตระเวน
ต้องมีข้อมูล มีแผนงาน มีการปฏิบัติจริง
ว่าที่ไหนเป็นพื้นที่เสี่ยง ที่ไหนยังไม่ค่อยยอม"โซเชี่ยล ดิสแทนซิ่ง" ที่ไหนยังปาร์ตี้เฮฮากันไม่เลิก
จากนั้นก็จัดกำลังลงไปตามสาย
จะไปป้องปรามหรือจับกุมอะไรก็ว่ากันไป
แต่เรื่องแบบนี้ลำบากครับ เหนื่อยครับ
ท่านไม่ทำหรอก
สู้ตั้งด่านไม่ได้ สบายกว่า
เหมือนก่อกองไฟให้แมงเม่าเข้ามา
ไม่ต้องออกไปหากินเอง
คราวนี้ใครเดือดร้อนล่ะ ก็คนที่ยังมีความจำเป็นต้องประกอบวิชาชีพของตัวอยู่
แพทย์ พยาบาล คนขนส่งสินค้า-อาหาร คนเข้าเวรทำงานกะดึก ฯลฯ
ต้องมายุ่งยาก เสียเวลา เสียอารมณ์กับความไม่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่้
ชาวบ้านต้องถอดกางเกงผายลมไหมเล่า
...
เรื่องห้ามขายเหล้าก็เช่นกัน
ปัญหาเดียวกับเรื่องข้างบนนั่นละครับ
ถ้าเจ้าหน้าที่ขยันตรวจตรา เรดาร์กลุ่มเสี่ยง-พื้นที่เสี่ยงอย่างเอาจริงเอาจัง
ใครยังจับกลุ่มปาร์ตี้เฮฮา ตั้งวงสุราในที่สาธารณะ
ก็ป้องปรามหรือจับกุมเสีย
ไม่ต้องออกมาตรการที่มัน"ล้ำเส้น"อย่างนี้
ไม่ทำให้คนแตกตื่นไปกักตุนกัน(จนอาจจะทำให้เชื้อกระจาย แทนที่จะทำให้คนอยู่ห่างกัน)อย่างนี้
ไม่ทำให้ถูกนินทาว่า นี่เป็นมาตรการช่วยเจ้าสัวขายของอย่างนี้
ฯลฯ
นี่คือรัฐ-ราชการถอดกางเกงผายลมเสียเอง
...
สั่งน่ะมันง่ายครับ
แต่สั่งแล้วได้ผลหรือเปล่าก็อีกเรื่อง
สักแต่ว่าสั่งๆ พูดๆ ไป
ไม่มีผลในทางปฏิบัติจริง หรือยิ่งยุ่งไปกว่าเก่า
ไม่มีความหมาย ไม่เป็นสาระ
มีภาษิตกำลังภายในอีกประโยคหนึ่งไว้อธิบายได้ชัดเจน
เขาบอกว่า
ผายลมมารดาท่าน
...
ขออภัยที่ต้องขึ้นต้นด้วยความไม่สุภาพ
แต่เรื่องมันอุบาทว์จริงๆ
จนไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาแทนได้
...
สังเกตอะไรอย่างหนึ่งไหมครับว่า
ตั้งแต่เกิดวิกฤติโรคระบาดที่นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ และทำให้คนตกงานหรือว่างงานชั่วคราวมากที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
หน่วยงานที่เงียบหายไปจนแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย
หรือมีก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่สะท้อน”ภาพใหญ่”ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
ก็คือกระทรวงแรงงาน
ทั้งที่ประเมินกันว่า ในวิกฤติครั้งนี้จะมีคนตกงานถาวรหรือว่างงานขั่วคราวตั้งแต่ 7-13 ล้านคน
แล้วแต่ว่าสำนักไหนจะเป็นผู้ประมาณการ
แต่ไม่ว่าจะตัวเลข 7 หรือ 13 ก็เป็นตัวเลขมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ไม่ว่าจะคิดในแง่ชีวิตคนและผลกระทบกับครอบครัว-คนรอบข้าง
หรือผลต่อระบบเศรษฐกิจส่วนรวม
แต่นอกจากไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาในภาพรวมตามหน้าที่ความรับผิดชอบแล้ว
ยังมีพฤติกรรมเหมือนหมาฉี่รดคนเดินสะดุด นอนหกล้มอยู่กลางถนนอีกด้วย
...
จำกันได้นะครับว่า กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมแสดง”ปฏิกิริยาต่อต้าน”มาตรการช่วยเหลือคนตกงาน-ประคับประคองเศรษฐกิจมาแต่ต้น
เมื่อครั้งที่กระทรวงการคลังเสนอแพคเกจพยุงเศรษฐกิจรอบแรก 200,000 ล้านบาท
หนึ่งในข้อเสนอก็คือ ขอให้สำนักงานประกันสังคมลดเงินสมทบที่บริษัท-พนักงานต้องหักจากเงินเดือนร้อยละ 5 ให้เหลือร้อยละ 0.5
เพื่อลดภาระของกิจและคนทำงานในช่วงวิกฤติ
เรื่องนี้รัฐมนตรีแรงงานคัดค้านในที่ประชุมยังไม่พอ
ไม่กี่วันให้หลัง สำนักงานประกันสังคมทำหนังสือกลับมาถึงรัฐบาล
บอกว่าทำไม่ได้
ต้องมีการเอาเรื่องเข้าที่ประชุมกันใหม่
สุดท้ายต่อรองกันออกมาเป็นว่า ประกันสังคมจะลดเงินสมทบส่วนของบริษัทจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4
และลดเงินสมทบพนักงานจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 1
ช่างเป็นบุญคุณล้นพ้น
แต่ไม่ได้คำนึงถึงหลักการใหญ่เลยว่า
ถ้าจะประคองเศรษฐกิจให้หายใจพะงาบๆ ในยามวิกฤติต่อไปได้
1.ต้องทำให้คนตกงานน้อยที่สุด
2.ต้องดูแลคนตกงานให้ดีที่สุด
กรณีนี้ ขัดกับหลักการข้อ 1. เต็มๆ
ในเมื่อยังมีบริษัทที่ดี ที่เขาพยายามดูแลพนักงานไม่ให้ตกงาน
รัฐต้องช่วยลดภาระให้เขาในยามวิกฤติเฉพาะหน้า
ไม่ใช่คิดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวของหน่วยงาน
...
ข้อต่อมา เคยพูดไปแล้วแต่ต้องย้ำอีกที
คนตกงานมาจะร่วมเดือนหนึ่งแล้ว ประกันสังคมเพิ่งให้ลงทะเบียนว่างงานเพื่อนับเงินช่วยเหลือได้
แต่ลงทะเบียนแล้ว อีก 60 วันค่อยมารับเงิน
เฮ้ย-นี่มันยุคไหน
เขาไปดิจิตัลกันหมดแล้ว
ประกันสังคมยังใช้ลูกคิดอยู่หรือ
แล้วคนที่ว่างงาน 2 เดือน 3 เดือนเขาจะอยู่อย่างไร
จะเอาอะไรกิน
ครอบครัวเขาจะเป็นยังไง
นี่ยังไม่นับอีกว่า สำนักงานตั้งแง่เงื่อนเอาไว้ เหมือนจะไม่อยากจ่ายสตางค์ จะไม่ช่วยเหลือใคร
ยกตัวอย่างที่เขาร้องกันมาตลอด
ก็คือกรณีโรงแรม
ถ้าไม่ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งของรัฐ คือรัฐบาลหรือผู้ว่าฯ
พนักงานไม่ได้เงินช่วยเหลือนะครับ
ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเขาเจ๊งคาตา
ลูกค้าต่างประเทศไม่มา ลูกค้าไทยก็ไม่มี
มันเจ๊งโดยไม่ต้องมีคำสั่งใครปิดอยู่แล้ว
แค่ปิดสนามบิน แค่ห้ามสัญจร แค่เคอร์ฟิว
ก็เจ๊งแล้ว
แต่เจ๊งแบบนี้ รัฐ-หรือเอาให้จำเพาะก็คือ
ประกันสังคมไม่ช่วย
...
และเรื่องล่าสุด ที่บอกว่าสุดอุบาทว์ก็คือ
ประกันสังคมเพิ่งมีหนังสือตอบกลับมาที่รัฐบาล ว่าด้วยมาตรการและวงเงินช่วยเหลือผู้ตกงานในระบบประกันสังคม
ว่ามีเงินช่วยได้แค่ 1.9 หมื่นล้าน
ถ้ารัฐบาลอยากให้ช่วยจริง ก็ขอเงินสมทบอีก 2.17 แสนล้าน
เฮ้ย-นี่มันอะไร
กองทุนประกันสังคม(ซึ่งจริงๆ คือเงินของคนทำงาน-บริษัทที่ถูกหักเป็นเงินสมทบ) วันนี้มีอยู่ 2.2 ล้านล้านบาท
ย้ำอีกทีนะครับ 2.2 ล้านล้านบาท
แต่คุณอ้างว่าเอามาช่วยไม่ได้ เพราะ
1.ต้องเตรียมเงิน 1.9 ล้านล้านบาทไว้สำหรับเป็นกองทุนชราภาพหลังคนเกษียณอายุ
2.ถ้าขายสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้อื่นๆ และหุ้น) จะทำให้ตลาดแตกตื่น และราคาสินทรัพย์ลดลงมหาศาล
ซึ่งเป็นข้ออ้างที่(ขอประทานโทษ)
ทุเรศสิ้นดี
...
เพราะ
1.กองทุนชราภาพที่ว่าเป็นเรื่องอนาคต และไม่ใช่การตัดจ่ายก้อนเดียว
และมันยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกมาก
เงินสำรองยามชรา มันเป็นสูตรตามคณิตศาสตร์ประกันภัย ที่มีตัวแปรหลายตัว
ทั้งเงินเฟ้อ อายุขัยเฉลี่ย ฯลฯ
และกว่าจะใช้ก็อีกเป็นสิบปี
2.ที่อ้างว่าเทขายของแล้วตลาดจะแตกตื่น
ก็เข้าไปขายในตลาดซื้อคืนของธนาคารแห่งประเทศไทยสิครับ
แบงก์ชาติมีเงินพอรับได้หมดนั่นแหละ
ขายเอาเงินสดมาใช้วันนี้
วันหน้าทีเงินก็ไปซื้อกลับมาใหม่
ไม่ได้ทำให้ตลาดแตกตื่นเลย
...
ที่ต้องใช้คำว่าทุเรศหรืออุบาทว์ก็คือ
1.เงินทั้ง 2.2 ล้านล้านบาทที่ประกันสังคมถืออยู่วันนี้
เป็นเงินของผม เงินของคุณ
เงินของทุกคนที่อยู่ในภาคเอกชน
รัฐบังคับหักไปจากเรา เพื่อให้เป็น”หลักประกัน”
ไม่ว่าจะชราภาพ หรือเจ็บป่วย
(นี่ยังไม่ได้ลำเลิกเลยนะว่า ประกันสุขภาพของประกันสังคมนี้น”ห่วยแตก”ที่สุด ใน 3 กองทุนสุขภาพ คือประกันสังคม-30 บาททุกโรค-สวัสดิการข้าราชการ)
ตกงานกันครึ่งค่อนประเทศไม่ข่วย
จะไปช่วยกันตอนไหน(วะ)
2.นาทีนี้ไฟไหม้บ้าน
อย่างแรกที่ต้องทำคือเอาคนออกมาให้รอดปลอดภัยที่สุด
แต่นี่คุณมรึงวิ่งเข้าบ้านไปอุ้มเซฟ(ของชาวบ้าน)เอาไว้แทน
แล้วตู่ว่านี่เซฟส่วนตัวของกรู
ไม่ให้เปิดใช้ ไม่ให้เอามาช่วยเหลือใคร
อุบาทว์ไหมล่ะครับ
...
มีข้อเสนอตบท้ายสองข้อสั้นๆ
1.ถ้าประกันสังคม-กระทรวงแรงงานไม่อยากทำหน้าที่
ไม่ลาออกกันให้หมด
ก็ยุบกระทรวง ยุบสำนักงานไป
2.ถ้ารัฐบาล(ที่อุตส่าห์มีนายกฯเป็นทหาร ประกาศกฎหมายฉุกเฉินแล้ว)จัดการให้กระทรวงแรงงาน-ประกันสังคมทำตามนโยบายช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้
อย่าเป็นรัฐบาลต่อไปเลยครับ

Thakoon Boonparn