ผลร้ายพายุเมืองร้อน ‘โพดอล’ หนักหนาสากัณฑ์
อุทกภัยเกือบทั่วอีสานและภาคเหนือตอนล่าง ผ่านมาสามวันทั่น ผบ.ทบ.จัดแจงแถลงว่า
นายกฯ รู้ล่วงหน้า ๒-๓ วันแล้วละ ไลน์สั่งการ ผบ.เหล่าทัพดูแล แต่ชาวบ้านบ่น “ก็เดือดร้อนเหมือนเดิม”
(ดูเพิ่มจากภาพ)
แถมคนร้อยเอ็ดโพสต์ “เห็นแต่อาสากู้ภัยกับชาวบ้าน
นักข่าว ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น...ไม่รู้จะโม้ไปทำไม...ระเบิดก็รู้ล่วงหน้า
น้ำท่วมก็รู้ล่วงหน้า แต่ไม่ได้เตรียมการหรือแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง” (@NONpayakphan)
‘บก.ลายจุด’ ถึงต้องแนะ ไอ้ที่จะแจกเงินให้คนเที่ยวนั่น
ผันมาช่วยน้ำท่วมเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ ฝ่ายค้านพูดแล้วพูดอีก “รัฐบาลควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเข้ามา
แต่กลับใช้เงินแหลกลาญ แจกเงินอย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา
ใช้แนวทางเอาคนรวยนำคนจน โครงการธงฟ้าประชารัฐเราก็รู้ว่าเอาสินค้าของใครมาวางขาย
ประชาชนก็ต้องเอาเงินที่ได้จากบัตรสวัสดิการมาซื้อของเหล่านั้น
ทำให้เงินหมุนเวียนเฉพาะกลุ่มทุน”
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยไปพูดที่เชียงใหม่
ในกิจกรรม ๔ ภาค ‘ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน’ นัดแรก “สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำมาตลอดคือโน้มน้าวกับสังคมว่าต้องแก้เศรษฐกิจก่อนแล้วค่อยแก้รัฐธรรมนูญ
ทั้งๆ ที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
หนึ่งในแกนนำหลักของฝ่ายค้านชี้ว่าภาวะข้าวยากหมากแพงเกิดจากรัฐบาล
คสช.นั้นเอง ที่มุ่งมาดแต่จะสืบทอดอำนาจ ดังนั้นฝ่ายค้านจึงตั้งเป้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ
๒๕๖๐ ของ คสช.นี้ ด้วยการชักชวนประชาชนร่วมรณรงค์ให้มีการเลือก สสร. ๒๕๐ คนขึ้นทำการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
การเสวนาวันแรกเมื่อ ๑ กันยา
ที่เชียงใหม่นี้ มีทั้งตัวแทนพรรคการเมือง ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม รวม ๗
คนร่วมอภิปรายกันอย่างถึงแก่น สมชาย ปรีชาศิลปกุล แห่งคณะนิติศาสตร์ มช.
กล่าวว่ารัฐธรรมนูญที่จะร่างใหม่
มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในแนวเดียวกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐
ด้านนายนิคม บุญวิเศษ
หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทยเปรียบรัฐธรรมนูญฉบับ ๖๐ ว่า “ทำให้การเมืองและรัฐบาลอ่อนแอ
เมื่อสิ่งเหล่านี้อ่อนแอใครจะเชื่อมั่นมาลงทุน” ผลก็คือถ้าขืนใช้ต่อไปเรื่อยๆ
จะก่อให้เกิดการพอกพูนหนี้ในหมู่ประชาชน จนสุดท้ายก็ล้มละลาย
นายภูมิธรรม เวชยชัย จากพรรคเพื่อไทยเผยว่า
“ตลอด ๕ ปีที่ผ่านมาเราได้พิสูจน์แล้วว่า
การบริหารที่สามารถควบคุมชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้”
เขาเสริมด้วยว่า “ประชาชนคือคนที่ได้รับผลกระทบจากระบบการเมืองการปกครอง
ดังนั้นเรามีสิทธิที่จะลุกขึ้นมาแสดงออกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
โดยกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระประชาชนทุกภาคส่วน และทำพร้อมๆ
กันไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
แต่โดยเหตุที่รัฐธรรมนูญของ คสช.ฉบับนี้วางเงื่อนงำไว้ให้แก้ไขยาก
ดังที่นางเยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ระบุ
จึงจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นหนา “ลำพัง ส.ส.ไม่พอ”
สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ
สสร.จึงต้องมาจากประชาชนโดยตรง และแก้ไขปัญหาหลักในรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.นี้
ที่กำหนดให้ ‘ภัยต่อความมั่นคง’ สามารถจำกัดสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกและเสนอความคิดเห็นโดยประชาชน
น.ส.อนินท์ญา ขันขาว สมาชิกกลุ่มนักกิจกรรมเยาวชนเล่าว่า
“ในฐานะนักเคลื่อนไหวและนักกิจกรรม สิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคือการถูกคุกคามเสรีภาพเวลาที่เราออกไปเคลื่อนไหว”
แม้ในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ไม่แตะต้องหมวด ๑ และ ๒ แล้วก็ยังถูกจำกัดควบคุม
ขณะที่นายสุรยุทธ จันทวงค์
สมาชิกกลุ่มนักศึกษานิติขับเคลื่อนประกาศว่า “วันนี้สิ่งที่นักศึกษาต้องทำคือต้องตั้งมั่น
และเชื่อว่าประชาธิปไตยจะผลิดอกออกผลนสังคมไทยได้ เราศึกษากฎหมายตามระบบและครรลองของประชาธิปไตย
ไม่ใช่ให้ใครมาครอบงำเราได้
เราต้องไม่เกรงกลัวต่ออำนาจที่ข่มขู่เรา
เราต้องเชื่อว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนจริงๆ โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาบอก
แต่เราต้องเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ”
อย่างไรก็ดีผู้อภิปรายเหล่านี้ต่างย้ำเตือนให้ตระหนักว่า
ถึงแม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญของ คสช.นี้จะเป็นเรื่องยากเย็น
ทว่าความมุ่งมั่นในเป้าหมายและความแม่นยำในหลักการ ดังที่ปรากฏในเนื้อถ้อยดังกล่าวแล้วนั้น
จะเป็นแรงกระตุ้นและจูงใจประชาชนทั่วไปให้เข้าร่วมอย่างพร้อมมวล
โดยเฉพาะเมื่อมีภาคประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งร่วมกันจัดตั้ง
“เครือข่ายภาคีรณรงค์เคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปประชาธิปไตย”
ขึ้นแล้วมีนายโคทม อารียา เป็นประธาน และนายอนุสรณ์ ธรรมใจ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
กลุ่มนี้แจ้งว่า แม้จะ “ยังเป็นการหารือกันเบื้องต้นมากๆ
ยังไม่มีมติอะไรที่ชัดเจน
เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการกันอย่างรอบครอบเพื่อจะต้องมีช่วงเวลาที่ต้องปรึกษาหารือกันอย่างมาก”
แต่ก็ตั้งปณิธานกันไว้แล้วว่า
“อยากให้มีรูปแบบเหมือนตอนที่รณรงค์รัฐธรรมนูญสีเขียวเมื่อปี
๔๐” และ “รวมเอากลุ่มต่างๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาขับเคลื่อนไปพร้อมกัน”
นายอนุสรณ์แย้มด้วยว่า “เราต้องทำงานร่วมกับทางรัฐสภาและรัฐบาลด้วย
ซึ่งถ้าเขาไม่เห็นด้วยเต็มที่เลยก็จะทำงานยาก”