วันจันทร์, ธันวาคม 17, 2561

'ลดแลกแจกแถม' ทำหนี้สาธารณะเพิ่ม ซ้ำ “ไม่สัมพันธ์กับโครงการพัฒนาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ”


คำถามของรองโฆษกพรรคเพื่อชาติถึงทีม ไอทู้บ ๔.๐เรื่องโพสต์ภาพกร๊าฟฟิคผังรายการ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ๒๕๖๒ เพียบ ว่า “ผิด พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๕๖๑ มาตรา ๗๓ ข้อ ๑ หรือไม่”

ที่จริงเป็นการประจานความด้านได้ไม่มียางอายของ คสช. แสดงโจ่งแจ้งว่ากฎหมายต่างๆ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ ๖๐ ล้วนไม่มีความหมายสำหรับพวกยึดอำนาจ เขาจะละเมิดหรือตีความบิดเบี้ยวอย่างไรก็ได้

มันยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นต้องเลือกฝ่ายประชาธิปไตยเข้าไปในสภาผู้แทนมากๆ เพื่อร่วมมือกันล้มล้างอำนาจวิเศษของเครือข่ายรัฐประหารที่แฝงอยู่ในบรรดากฎหมายตามคำสั่ง คสช.เหล่านั้น

“โดยในมาตรา ๗๓ ได้ระบุไว้ว่า ไม่ให้กระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จูงใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไปลงคะแนนให้ตนเองหรือผู้อื่น” น.ส.พรพรหม พรหมชาติ ลงรายละเอียดไว้ด้วย “ในข้อหนึ่งระบุว่า การจัดทำเสนอสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นได้อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เป็นการกระทำผิดกฎหมายฉบับนี้”

ที่บอกว่า “หน่วยงานรัฐและองค์กรพร้อมใจกัน...ทั้งลดและให้บริการฟรี” ไม่ว่าจะ ยกเว้นค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ลดราคาสินค้าร้านธงฟ้า ห้างเจ้าสัวประชารัฐ สินค้าออนไลน์ และเฟอร์นิเจอร์ กระทั่งที่พัก โฮมสเตย์

ไม่ใช่สวัสดิการแน่ๆ แต่เป็นเสมือนการทำ โปรโมชั่นทางการค้า ที่สามารถ คำนวณเป็นเงินเข้าข่ายการเสนอให้ผลประโยชน์เพื่อการตอบแทนเป็นคะแนนนิยม และ เสียง เลือกตั้ง


นั่นเป็นส่วนย่อยล่าสุดที่ คสช. เร่งทำตอนใกล้จะถึงการเลือกตั้งระหว่างที่เพิ่งจะปลดล็อคพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมแถลงนโยบายและปราศรัยกันได้ ก่อนหน้านี้ในระยะไม่กี่เดือนก็ปรากฏโครงการ ลดแลกแจกแถม ออกมาแล้วมากมาย
 
ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ควักจากเงินคงคลังเห็นๆ ซึ่งเว็บ ไอสเปชนำมาทบทวนไว้ ปาเข้าไปเกือบ ๙ หมื่นล้านบาทนั่นแล้ว โดยเฉพาะที่ฮือฮามากช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่อเครื่องเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทยแทบลุกเป็นไฟ จากการที่รัฐบาลทหารโอนเงินเข้าบัญชีผู้ถือบัตรคนจน ๑๔.๕ ล้านคน รายละ ๕๐๐ บาท

นั่นก็เบาะๆ ที่ใช้เงินที่มาจากการเก็บภาษีอากรประชาชน ๗,๒๕๐ ล้าน ยังมีรายการช่วยเหลือค่าเดินทางคนแก่วงเงิน ๓,๕๐๐ ล้าน กับค่าน้ำค่าไฟถึงเดือนกันยาปีหน้าวงเงิน ๒๗,๐๖๐ ล้าน แถมด้วยช่วยค่าเช่าบ้านรายละ ๔๐๐ บาท ซึ่งต้องใช้งบประมาณอีก ๙๒๐ ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ อีกได้แก่ เงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ๕๙๙ ล้านบาท และเงินบำเหน็จดำรงชีพอีก ๒๔,๗๐๐ ล้านบาท เงินชดเชยดอกเบี้ย โครงการบ้านล้านหลังราคาไม่เกิน ๑ ล้านบาท อีก ๓,๘๗๖ ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือชาวสวนปาล์ม ๕๒๕ ล้านบาท และมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางพารา ๑๘,๖๐๔ ล้านบาท”


นี่คือวิธีการบริหารประเทศของคณะทหารซึ่งไม่มีปัญญาหาเงินเข้าคลัง สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และดำเนินนโยบายให้พลเมือง ทำมาค้าคล่องได้ จึงใช้วิธีขุดของเก่าเอามาจ่ายแจกเรียกคะแนนนิยม โชคดีที่รัฐบาลชุดแล้วๆ หาสะสมไว้

โชคร้ายถ้ารัฐบาลหน้าไม่ใช่ชุดเดียวกับที่สี่รัฐมนตรีไปสุมหัวตั้งพรรคกับนักการเมืองงูเห่าไว้รองรับการกลับมาของผู้เผด็จการจอมฉุน หวังกันว่าถ้าเป็นเครือข่ายที่เคยเข้ามาปลดหนี้ไอเอ็มเอฟและหนี้จากการผลาญเงินอุ้มหุ้นละก็พอใจชื้น
 
ถ้าเป็นชุดที่มีนักยึดอำนาจกลับมาเป็นนายกฯ อีก ก็กรรมของคนไทยจะต้องลืมตาอ้าปากไม่ได้ อดอยากปากแห้งไปอีกอย่างชั่วช้าก็สี่ห้าปี อย่างเลวๆ จะถึง ๒๐ ปี ขนาดเดี๋ยวนี้ผ่านมาสี่ปีครึ่ง บ้านเมืองพอกหางหมูด้วยหนี้สาธารณะ ทะลุ ๖.๗ ล้านล้านเข้าไปแล้ว

เว็บไซท์ taibannเอาตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๖๑ มาแฉซ้ำว่า “หนี้สาธารณะคงค้าง ๖,๗๘๐,๙๕๓ ล้านบาท แยกเป็นหนี้ของรัฐบาลถึง ๕,๔๕๐,๒๒๐ ล้านบาท หรือคิดเป็น ๓๘% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด”

เหล่านี้ฝีมือล้างผลาญของรัฐบาลลุงตูบเกือบทั้งนั้น ตลอดเกือบห้าปีที่ผ่านมาหนี้สาธารณะประเทสไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีชงัก หนักเข้าไปอีกก็ตรงนี่ เทร็นด์ นี้ไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่ง ไอสเปชบอกว่า

“ตัวเลขที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงนั้น เมื่อพิจารณาร่วมกับปริมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ...ในปัจจุบันถือว่าน่าเป็นห่วง” เพราะตัวเลขเพิ่มดังกล่าว “ไม่สัมพันธ์กับโครงการพัฒนาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ”


แสดงว่าโครงการเม็กกาโปรเจ็คต่างๆ ที่รัฐบาล คสช.อ้างว่าวางไว้คู่ขนานกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีนั้น ว่าไปแล้วท่าจะไม่มีอนาคต แล้วอย่างนี้จะปล่อยให้ไอทู้บและ คสช. กลับมาครองเมืองอีกละหรือ