วันเสาร์, ธันวาคม 08, 2561

ถ้า ‘รู้เช่นเห็นชาติ’ กับการเอาเปรียบของ คสช. ก็ต้อง 'เลือกตั้ง' ฝ่ายประชาธิปไตยถล่มทลาย


เพราะมีแผนการณ์ให้ทหารและเครือข่ายครองบ้านครองเมืองอีก ๒๐ ปี ด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญ เขียนกฎหมายลูกอย่างเอารัดเอาเปรียบนักการเมืองฝ่ายพลเรือน ออกมาบังคับใช้ด้วยอำนาจรัฐประหาร

คสช.จึงพยายามฟอกขาวตบตานานาชาติว่า รัฐบาลชุดต่อไปที่พวกตนมุ่งหมายเข้าไปยึดครองอีกนี้ ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง  โดยให้พวกรองๆ รัฐมนตรี และลิ่วล้อ ไปตั้งพรรคการเมืองส่งเลือกตั้งไว้เป็นฐาน

แน่นอนแล้วว่าต้นปีหน้าจะประกาศใช้ พ.ร.ฎ. การเลือกตั้ง ส.ส. และกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้ง พร้อมทั้งเขตเลือกตั้ง แบบ ‘Gerrymandering’ อย่างยึกยือ ที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้สมัครในพรรคฝ่ายคณะทหาร (พลังประชารัฐ) แล้วนำไปสู่การหย่อนบัตรเลือกตั้ง (ใบเดียวกาทั้งคนและพรรค) ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

จากนั้นปลายเดือนเมษายน คสช.จะประกาศชื่อ สว. ๒๕๐ คนที่พวกตนคัดตัวเอาไว้โหวตกำหนดตัวนายกรัฐมนตรี ที่เชื่อว่าจะต้องมาจากพรรคลิ่วล้อ คสช. แน่ๆ เพราะพรรคการเมืองอื่นๆ จะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกไม่สามารถเสนอตัวตั้งรัฐบาลเองได้

เว้นแต่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย (ไม่เอาพรรคการเมืองลิ่วล้อ และลูกไล่ คสช.) ออกไปโหวตให้แก่พรรคการเมืองฝ่ายต่อต้านคณะรัฐประหาร ดังเช่น เพื่อไทย ไทยรักษาชาติ อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ เพื่อธรรม และสามัญชน เป็นอาทิ อย่างถล่มทลาย

(ขออภัยที่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในรายการ เพราะสายการนำของพรรค โดยเฉพาะตัวหัวหน้าเอง แสดงท่าทีหลายครั้งว่า อาจจะ ไม่ปฏิเสธการเกี้ยวพาราศีของ คสช. ให้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ที่จะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี)

เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง จะต้องลุ้นว่าสโลแกนของฝ่ายตรงข้าม คสช. ที่ว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” จะ ‘materializes’ เป็นความจริงได้ไหม หรือแค่ไหน

การจะเป็นเช่นนั้นได้ ในเมื่อประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะได้ใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในครานี้ (ราว ๖ ล้านกว่าคน) ได้ รู้เช่นเห็นชาติ กับการเอารัดเอาเปรียบ และกีดกันกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม

จะเห็นได้จากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คสช. สร้างความได้เปรียบให้แก่พวกตนและพรรคการเมืองลิ่วล้อ ด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินทุ่มใส่โครงการประชานิยม ชนิดที่มีชาวบ้านเอ่ยปากกันแล้วว่า “เขาให้มาก็ต้องไปลงให้เขา”
 
เงิน ๕๐๐ เงิน ๑,๐๐๐ โอนใส่บัตรสวัสดิการ น่าจะทำให้ผู้รับซาบซึ้งในบุญคุณได้ไม่มากก็น้อย แต่ว่าการ แจกซิมหรือที่จริงคือแจกเงิน “อุดหนุนค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตเฉพาะส่วนที่เป็นข้อมูล (Internet Data)” แก่ผู้มีรายได้น้อย ไม่น่าจะทำให้ผู้ได้รับสมประโยชน์เท่าไรนัก

“สรุปว่า โครงการนี้เป็นโครงการระยะโปรโมชั่นนะครับ (เหมือนใช้เงินของรัฐมาทำโปรโมชั่นให้ผู้ให้บริการเลยครับ) หมายความว่า จะให้ฟรีในระยะสั้น และหากเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะต้องจ่ายเงินค่าบริการให้แก่ผู้ให้บริการเอาเองครับ”

อจ. เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ เขียนเฟชบุ๊คเตือนสาธารณะ ขณะที่แถลงของกระทรวงการคลังอ้าง “ในระยะยาว เมื่อผู้มีรายได้น้อยได้รับสิทธิจากโครงการ หากเห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้รับเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ

ผู้มีรายได้น้อยสามารถจ่ายค่าบริการหรือปรับเปลี่ยนแพ็คเกจเองได้ตามกำลังซื้อหลังจากสิ้นสุดมาตรการ”

ไม่เท่านั้น ข้อความเผยแพร่จาก สถานีข่าวกระทรวงการคลังยังแก้ตัวให้กับรัฐบาล คสช.ด้วยว่า โครงการนี้ “ใช้เงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ของสำนักงาน กสทช.”


ซึ่ง อจ.เดชรัต ถามสวนให้ “อืมม์ แล้วมันไม่ใช่งบหลวงยังไงครับ ประกาศของกองทุนวิจัยและพัฒนาฯ ก็ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คนอนุมัติ (ตามข่าว) ก็คณะรัฐมนตรี แล้วมันไม่ใช่งบหลวงได้อย่างไร? งงจุง”

อีกทั้งในรายละเอียดของโครงการดังที่ รมว.คลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า “เพื่อส่งเสริมประชาชนในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล และข่าวสารที่จำเป็นเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตร เพื่อหลุดพ้นความยากจน”

ก็มีนักการเมืองคนหนุ่ม รุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยซักค้านง่ายๆ ว่า “การส่งเสริมแหล่งข้อมูลและข่าวสารที่จำเป็นทางการเกษตรนั้น ๕๐ บาทจะไปเพียงพออะไรต่อการหาข้อมูล” เขาหมายถึงวงเงินที่รัฐบาลจะจ่ายแทนคนจนให้แก่เจ้าสัวที่เป็น ‘Internet Provider’ นั้น

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส แจงเสริมด้วยว่า “เพราะราคาอินเตอร์เน็ตเติมเงินมือถือปัจจุบันนั้นอยู่ที่เม็กละ ๑.๕ บาท/MB เงิน ๕๐ บาท ก็ได้แค่ ๓๓ เม็ก ใช้ไม่ถึง ๓ วันก็หมดแล้ว ประสาอะไรจะไปหาข้อมูล” เลยช่วยไม่ได้ที่เขาชี้ต่อไปถึง เบื้องลึก

“ความเป็นจริงแล้วคือเอื้อกลุ่มนายทุนใช่หรือไม่ รัฐบาลควรที่จะนำงบประมาณที่จะเอาไปใช้ในส่วนนี้ ไปแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้ตรงจุด...หรือตั้งใจจะเอาผลประโยชน์ทางการเมืองกันแน่ โดยตั้งใจมาออกนโยบายดังกล่าวในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง”

 
ชัดไม่ชัดดูอีกตัวอย่างก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการเลือกตั้งสั่งห้ามพรรคอนาคตใหม่ขายของชำร่วยออนไลน์เพื่อการระดมทุน แต่เมื่อวันก่อนพรรคพลังประชารัฐที่ประยุทธ์แย้มพรายแล้วว่า น่าสนจัดเลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุน โต๊ะละ ๓ ล้านบาท จำนวน ๒๐๐ โต๊ะ ไม่เห็นมีใครห้าม

มีทางเดียวที่จะกำจัดการเอารัดเอาเปรียบเหล่านั้นไปจากชีวิตคนไทยได้ ก็คือต้องสกัดกั้นไม่ให้ คสช.ได้กลับมาเป็นรัฐบาลด้วยวิธีฟอกขาวตัวเองอีก มีช่องทางน้อยๆ ที่ คสช.ไม่สามารถปิดกั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ เสียงประชาชน

หากออกไปใช้สิทธิลงคะแนนให้แก่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างท่วมท้น ใครชอบพรรคไหนเลือกพรรคนั้นกันอย่างเต็มที่ รวมกันแล้วให้ได้เกิน ๓๗๖ เสียง สำเร็จแน่ ไม่เช่นนั้นถ้าได้เกิน ๓๐๐ ขึ้นไปจะทำให้ คสช. ตกที่นั่ง ปกครองไม่ได้ก็ยังดี