วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 11, 2561

พานทองแท้ไม่ถอย ถูกปักหลังอัยการสั่งฟ้องคดีเช็คกรุงไทย


พานทองแท้ประกาศฟัดกับพวกลุงลุ้งไม่ถอย อย่าหวังที่เอาคดีปักหลังเพื่อ “จะได้ไม่อยู่ให้รำคาญใจ ช่วงเลือกตั้ง...นอกจากเราจะไม่เผ่นกันแล้ว ผมยังจะชวนทุกคนในบ้านมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคฯ กันด้วยครับ

เมื่อก่อนมีพ่อเป็นคนเดียว คราวนี้ผมจะชวนมากันให้หมด จะได้ไม่ต้องเอาข้อกฎหมายมากล่าวหากัน ว่าคนนอกเข้ามาบงการ ต้องยุบพรรคฯ อย่างโน้นอย่างนี้”

อ้างถึงว่าชอบพูดกันนัก “ไม่ผิดแล้วกลัวอะไร” แล้วไง “เผด็จการเบ็ดเสร็จที่ทำผิดได้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องกลัวความผิดอะไรเลย คือสิ่งที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในสังคมไทยทุกวันนี้ครับ”

บอกรอมาจนจะครบ ๕ ปี แล้วก็ยังจะให้รอต่อไปอีก ไม่เอาแล้ว “ลุง...อยากให้ผมไปนัก-ผมก็จะอยู่ ไม่อยากให้ผมไปช่วยหาเสียง-ผมก็จะไปมันทุกจังหวัด

ผมจะทำทุกอย่างในกรอบของกฎหมาย เพื่อสนับสนุนทุกองค์กร และทุกพรรคการเมืองที่อยู่ในฝั่งประชาธิปไตย ให้รวมพลังกันเอาชนะการสืบทอดอำนาจของฝ่ายเผด็จการฯ ให้ได้”


อันเนื่องมาจากอัยการสั่งฟ้องคดีกล่าวหาฟอกเงิน ในการรับเช็คธนาคารกรุงไทย ๑๐ ล้านบาทจากสองผู้บริหารกฤษดามหานคร ซึ่งลูกชายอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงแล้วว่าเป็นเช็คฝากซื้อหุ้น ช.การช่าง แต่ก็ยกเลิกไปในวันเดียวกันนั้น และมีการคืนทรัพย์ไปหมดแล้วเช่นกัน

นายพานทองแท้ยังสู้ความด้วยข้ออ้างว่า เช็คในชุดเดียวกันก็มีไปถึงคนอื่นๆ โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.ร.ท. พระจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ด้วย โดยมีหมายเลขเช็คเรียงติดกันกับเช็คที่จ่ายแก่ตน

“เงินที่โอนเข้าสองบัญชีนี้ อย่าว่าแต่จะนำมาคืนเลย เงินที่บอกว่าได้มาจากการกระทำความผิดนี้ ถูกนำไปใช้สอยอย่างสบายใจ ไร้การตรวจสอบ โดยผ่านมา ๑๐ กว่าปี ยังไม่ปรากฏร่องรอยการคืนเงินให้เห็นแม้แต่บาทเดียว” โอ๊คประกาศ

“เงินก้อนเดียวกัน ส่วนหนึ่งโอนเข้าบัญชีผม ซึ่งได้โอนคืนกลับหมดแล้ว ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด แต่เงินอีกส่วนหนึ่งโอนเข้าบัญชีคนอื่น ถูกนำไปจับจ่ายใช้สอยอย่างสบายใจ กลับปราศจากความผิดใดๆ แบบนี้คงไม่มีใครยอมแน่ครับ”


ทว่าเช็คสองฉบับที่โอ๊คยกมาเป็นหลักฐานโต้แย้งนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองเมื่อปี ๒๕๕๘ ไม่เห็น ตอนนั้นนายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา (ขณะนั้น ปัจจุบันลาออกจากการเป็นประธานศาลอุทธรณ์แล้ว) ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ สรุปว่า
ไม่พบว่ามีมูลนิธิรัฐบุรุษฯ หรือว่าองค์กรอื่น ๆ ตามที่นายพานทองแท้อ้างแต่อย่างใด” แม้นว่า “ตามการสอบสวนของดีเอสไอ พบว่ามีเงินไหลไปยังกลุ่มบุคคลอื่นอีกมาก แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไปที่บุคคลใดอีกบ้าง”


จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าอัยการจะนำหลักฐานของนายพานทองแท้ไปพิจารณาก่อนการวินิจฉัยสั่งฟ้องหรือไม่ หรือว่าถือเอาข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ซึ่งขณะนั้นไม่อยู่บนรากฐานของข้อมูลความจริงครบถ้วน เป็นที่สุดแล้วไม่รับฟังหลักฐานใหม่

ข้อกล่าวหาของโอ๊คว่า ลุงเอาคดีมาปักหลังบีบให้หนีออกนอกประเทศเหมือนพ่อและอา จึงฟังขึ้น และความมัวหมองของกระบวนการศาลไทยประเด็นเลือกที่รักมักที่ชัง ดำเนินคดีและตัดสินความผิดแต่เฉพาะนักการเมืองในฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกลุ่มอมาตย์ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นด้วยเหมือนกัน

มันคือปัญหาหมักหมมจนกลายเป็นสารพิษกัดกร่อนระบบนิติธรรมในทางการเมืองการปกครองประเทศไทย จนทำให้ประชาธิปไตยไม่สามารถงอกงามเท่าทันนานาชาติอารยะทั้งหลายได้

แบบเดียวกับที่ กกต. สั่งห้ามพรรคอนาคตใหม่เปิดรับบริจาค หรือขายของหาเงินเข้าพรรค ทั้งที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยจัดรายการออนไลน์เรี่ยรายเงินจากผู้ชมคนละบาท สมทบเป็นทุนสนับสนุนการดำเนินงานของพรรครวมพลังประชาชาไทย (รปช.)

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แสดงปฏิกิริยาผ่านทางเฟชบุ๊คว่า “ถ้าไม่ให้รับบริจาค ถ้าไม่ให้ขายของที่ระลึกระดมทุม แล้วอย่างนี้พรรคการเมืองเกิดใหม่จะมีรายได้จากไหนจัดกิจกรรมหรือแม้แต่ใช้หาเสียงในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

จะให้กลับไปสู่ การเมืองแบบเก่า ที่นายทุนใหญ่ทุ่มเงินมหาศาลเป็นเจ้าของพรรค มีอำนาจสิทธิขาดเหนือสมาชิกคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ