วันเสาร์, ตุลาคม 20, 2561

สิทธิพิเศษนักบินไทยต้องนั่งชั้นหนึ่ง ไม่งั้นเครื่องไม่ออก มิน่า ‘ดัชนีทุนมนุษย์’ ต่ำตม

 
ดูเหมือนทีมประยุทธ์จะดีดถูกคีย์ ‘hits the right cords’ ขณะเดินสายสร้าง Profile หรือคุณค่าส่วนตัวผู้นำในการเจรจาความเมืองกับต่างประเทศ ระหว่างการประชุมผู้นำเอเซีย-ยุโรปที่กรุงบรัสเซล เบลเยี่ยม ข้อหนึ่งก็คือ

“สนใจเรียนรู้จากเนเธอร์แลนด์ ในด้านการวางแผนระยะยาวในการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเป็นระบบ รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อป้องกันปัญหาน้ําท่วม” เป็นประเด็นน่าสนใจจากการพบปะแบบทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีของประเทศเดอะเนเธอร์แลนด์

เพราะว่าภายในประเทศสถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยไม่สามารถจัดการได้ (อย่างน้อยให้ทันท่วงที) อย่าว่าแต่การวางระบบป้องกันภัย ทั้ง น้ำล้นและ น้ำแล้งได้เลยในตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา

เมื่อวาน (๑๙ ตุลา) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเพิ่งแถลงถึงสถานการณ์ ภัยแล้งว่าขณะนี้ครอบคลุมบริเวณ ๑๔ อำเภอ ซึ่งมีพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายแล้วราว ๗ แสนไร่
ก่อนหน้านี้สามวันมีประกาศของโครงการส่งน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์เพื่อการเพาะปลูกออกมาว่า “ขอแจ้งงดการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง เพราะปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนอุบลรัตน์มีน้อยไม่เพียงพอ” ทั้งนี้เพื่อสงวนน้ำไว้ใช้เฉพาะการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศน์ให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งเท่านั้น

“จึงขอประกาศแจ้งเตือนให้งดการเตรียมเมล็ดพันธุ์ ลูกปลาหรือลูกกุ้ง ที่จะนำมาใช้ในฤดูแล้งเพื่อป้องกันความเสียหาย เนื่องจากขาดแคลนน้ำ”

นั่นคือปัจจุบัน “ปริมาณฝนตกเหนือเขื่อนอุบลรัตน์น้อยกว่าเกณฑ์ปกติค่อนข้างมาก ทำให้สถานการณ์น้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ปัจจุบันมีน้ำปริมาณ ๘๔๔.๙๔ ล้าน ลบ.เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๔.๗๕ ของความจุที่ระดับเก็บกัก”


ถ้าความจำไม่สั้น เราเพิ่งผ่านอุทกภัยมาหมาดๆ ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ ทีมประยุทธ์อ้างกับเนเธอร์แลนด์ว่า “ต่างเผชิญปัญหาความท้าทายที่ใกล้เคียงกันจากการเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ” แล้วชวนเขามาร่วมนโยบาย Thailand +1 เอย ACMECS บ้างละ Thailand 4.0 และ/หรือ EEC งี้ ล้วนเป็นการพล่ามตามเพลงเอาเมื่อสายไปแล้ว ๕ ปี
 
การที่จะพึ่ง “ความเชี่ยวชาญด้านการชลประทานและการบริหารจัดการน้ําระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ โดยมีวิศวกรรมบริหารจัดการน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ดังคำเยินยอที่ใช้ป้อเป็นพิธีการ นั้นควรจะทำตั้งแต่สามสี่ปีที่แล้ว ที่ไทยก็เผชิญปัญหาน้ำท่วม น้ำไม่พอ เช่นนี้เสมอมา

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งจะต้องเริ่มทำตั้งแต่ริอ่านสร้างโครงการไทยแลนด์ ๔.๐ ก็คือการผลิต ทรัพยากรมนุษย์อันเป็นข้อเสนอแนะที่ธนาคารโลกชี้ไว้นานนมแล้วและเพิ่งมาตอกย้ำอีกครั้งอาทิตย์ที่แล้ว เมื่อมีการแถลงรายงาน ดัชนีทุนมนุษย์

ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยยังไม่ได้มาตรฐาน เด็กไทยที่เข้าเรียนในระบบการศึกษา ๑๒.๔ ปี จนกระทั่งอายุ ๑๘ ปีนั้น มีคุณภาพการเรียนรู้เท่ากับการศึกษาเพียง ๘.๖ ปีเท่านั้นเอง มิใยที่รายงานธนาคารโลกจะระบุว่ารัฐบาลประยุทธ์พยายามให้ความสำคัญในเรื่องนี้

แต่ก็ยังทำไม่พอ หรือทำไม่จริง เพราะ “สำหรับประเทศไทยนั้น เด็กที่เกิดในวันนี้ จะมีผลิตภาพเพียงร้อยละ ๖๐ ของศักยภาพที่พวกเขาควรจะมี” อยู่ดี

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมผู้มีอาชีพนักบินจึงหวงแหนสิทธิพิเศษในการได้ที่นั่ง ชั้นหนึ่งเหนือการให้เกียรติ ‘courtesy’ ลูกค้าที่แม้ว่าจ่ายค่าโดยสารชั้นธุรกิจ แต่ได้รับการเลื่อนขั้นไปนั่งชั้นหนึ่งโดยเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสายการบินนั้นเอง

ไม่ว่าจะเป็นกฏระเบียบที่นักบินของสายการบินไทยได้รับมากว่า ๒๑ ปี ดังที่นักบินคนหนึ่งอ้างในโพสต์ของเขาที่ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างอื้อฉาว หรือเป็นความจำเป็นที่นักบินสำรอง (ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่กรณีนี้) จะต้องนอนราบ ๑๘๐ องศา (ในที่นั่งชั้นหนึ่ง) ให้ครบตามชั่วโมงกำหนด “ตามกฏอีกอย่าง เค้าต้องมีการพักผ่อนที่เพียงพอ” ดังมีคนอ้าง

ไม่ใช่เรื่องที่นักบินของเที่ยวบิน ทีจี ๙๗๑ จากซูริคถึงกรุงเทพฯ ดังกล่าวจะประท้วงไม่ยอมนำเครื่องออกเดินทาง จนผู้โดยสารอื่นๆ ๓๐๐ คนต้องเสียเวลาล่าช้าไปกว่าสองชั่วโมง และอาจมากกว่านั้นถ้าสองสามีภรรยาที่ได้รับการ อัพเกรด ไปนั่งชั้นหนึ่งไม่ยินยอมสละที่นั่งของตน

นั่นจะเรียกว่าเป็นการฉ้อราษฎร์ หรือ corruption ในเรื่องของสิทธิก็ว่าได้ ในเมื่อสิทธิ พิเศษย่อมเอาเปรียบสิทธิพื้นฐานเสมอไป โดยไม่มีลักษณะแห่งความเท่าเทียมใดยืนยันได้

มิใย “ผลสำรวจดัชนีคอร์รัปชันไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา พบว่าความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุครัฐบาล คสช. เพิ่มขึ้นถึง ๓๗% สูงสุดในรอบ ๓ ปี” ดังที่คอลัมน์ ลมเปลี่ยนทิศ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเอ่ยถึง


โดยที่มูลเหตุแห่งการคอรัปชั่นที่ถูกอ้าง อยู่ในระบบการปกครองและทางปฏิบัติที่คณะรัฐประหารกำหนด ทว่าวัฒนธรรมแห่ง อำนาจนิยม ที่อ้างอิงกฎหมาย ซึ่งไม่ได้มาจากกระบวนการยอมรับและอิงกับประชาชน

ทำให้ผู้ได้สิทธิพิเศษและสถานะได้เปรียบ (อันมักจะเป็นคนส่วนน้อยเสียด้วย) ใช้อ้างเป็นความชอบธรรมของตนไปเสียฉิบ ดังกรณีนักบินจะกลับบ้านต้องนั่งชั้นหนึ่งไม่งั้นเครื่องไม่ออกดังกล่าว